SCGC Explainer:
- ยุคนี้คนทำงานกว่า 70% เลือกสุขภาพจิต การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์กลายเป็นกลยุทธ์สำคัญขององค์กร
- มีข้อมูลจากทั่วโลกสนับสนุนถึงประโยชน์ที่ชัดเจนของการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ แต่โมเดลนี้ไม่ใช่ ‘ยาวิเศษ’ ที่ใช้ได้กับทุกคน
- เพราะหัวใจของความสำเร็จไม่ใช่แค่การ ‘ลดชั่วโมง’ หลายองค์กรต้องเจออุปสรรคและต้องอาศัยการวางแผนอย่างรอบคอบ
- การเปลี่ยนวิธีคิดไปสู่ ‘การวัดผลงาน’ ต่างหาก คือบทสรุปของแนวคิด ‘ทำงานให้ฉลาดขึ้น ไม่ใช่หนักขึ้น’
--------------------------------------------------------------------------------------------
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าอาการ Sunday Scaries หรืออาการกลัววันอาทิตย์ ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของปัจเจกบุคคล แต่คืออาการที่บ่งชี้ถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบการทำงานที่ล้มเหลว? ผลสำรวจชิ้นล่าสุดจาก PageGroup ตอกย้ำประเด็นนี้ เมื่อพบว่าพนักงานถึง 70% เลือกที่จะให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตมากกว่าความก้าวหน้าในอาชีพ สิ่งนี้ชวนให้เราต้องตั้งคำถามสำคัญว่า เหตุใดพื้นที่การทำงานในปัจจุบันจึงผลักไสให้เราต้องอยู่บนทางเลือกระหว่างสองสิ่งนี้ ?
ผลพวงจากการทดลองทำงานแบบยืดหยุ่นครั้งใหญ่ในยุคโควิด-19 ทำให้แนวคิด ‘ทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์’ กลายเป็นทางออกสุดล้ำที่หลายคนพูดถึง ทว่า...เมื่อไอเดียนี้กลายเป็นกระแสไปทั่วโลก ก็ถึงเวลาที่เราต้องมองให้ลึกกว่านั้น ในช่วงเวลาที่ผู้คนนับล้านต่างกำลังทบทวนเส้นทางอาชีพของตนเอง ก็น่าตั้งคำถามว่า การทำงาน 4 วัน คือคำตอบที่ใช่ที่สุด หรือว่า ‘Flexi-time’ ต่างหากที่จะเป็นกุญแจของการมี ‘Work-life Balance’ ที่เราทุกคนต่างตามหา SCGC ชวนคุณมาหาคำตอบและเจาะลึกเทรนด์การทำงานนี้ไปพร้อมกัน
ทำงาน 5 วันต่อสัปดาห์: วัฒนธรรมการทำงานนี้มีที่มาอย่างไร ?
เมื่อรูปแบบการทำงาน 5 วันต่อสัปดาห์กำลังจะมีอายุครบ 100 ปี ในปีหน้า ก็อดที่จะตั้งคำถามไม่ได้ว่า ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ระบบเก่าแก่นี้ควรจะถูกปลดระวาง ?
สิ่งที่เริ่มต้นในโรงงานของเฮนรี่ ฟอร์ด ถือเป็นแนวปฏิบัติของการทำงานมาอย่างยาวนานเกือบศตวรรษ ระบบทำงาน 40 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ ได้กลายเป็นบรรทัดฐานของสังคมที่ถูกบัญญัติไว้ในกฎหมายมาตรฐานแรงงานของสหรัฐอเมริกา ปี 1938 ทว่าในปี 2025 มรดกตกทอดจากยุคอุตสาหกรรมนี้ถึงคราวต้องถูกทบทวนครั้งใหญ่ เมื่อทั้งองค์กรและคนทำงานต่างเริ่มตั้งคำถามว่า โมเดลการทำงานเก่าแก่นี้ยัง ‘ตอบโจทย์’ ยุคปัจจุบันได้จริงหรือ?
เมื่อการระบาดใหญ่ของ COVID-19 เข้ามาเขียนกฎการทำงานใหม่ทั้งหมด วิถีการทำงาน 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็นที่เคยเรื่องคุ้นเคยก็กลายเป็นเพียงสิ่งที่ล้าสมัยในพริบตา การปรับเปลี่ยนสู่ Remote Work และ Flexible Working ครั้งใหญ่ ทำให้สุขภาวะของคนทำงานหรือ Employee Well-being ถูกให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก ส่งผลให้คนทำงานในยุคนี้มองหาสมดุลชีวิต Work-life Balance มากกว่าการตอกบัตรเข้า-ออกงานไปวัน ๆ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงนี้ ‘การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์’ จึงก้าวขึ้นมาในฐานะที่เป็นตัวเลือกใหม่ที่ทรงพลังและน่าจับตามอง
เมื่อภาวะขาดแคลนแรงงานที่ทำให้การค้นหาคนเก่งระดับหัวกะทิเป็นเรื่องท้าทายมากขึ้น หลายบริษัทจึงเริ่มตระหนักว่าการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ไม่ใช่แค่สวัสดิการสวยหรูอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน 4 วันเต็มรูปแบบ, การทำงานแบบอัดชั่วโมง (Compressed Work Week), หรือการจัดเวลางานที่ยืดหยุ่นและสร้างสรรค์ขึ้น แนวทางเหล่านี้กำลังกลายเป็นกลยุทธ์ไม้ตายที่ใช้เพื่อดึงดูดบุคลากรชั้นยอดในโลกที่ปฏิเสธจะยึดติดกับวิถีการทำงานเหมือนเมื่อร้อยปีก่อน
เจาะลึก ‘ทำงาน 4 วัน’: มีกี่แบบ และทำงานอย่างไร ?
แนวคิดเรื่องการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์กำลังเป็นกระแสที่มาแรงในองค์กรต่าง ๆ ทั่วโลก แต่ในทางปฏิบัติจริงกลับมีรูปแบบที่หลากหลายและยังไม่ตายตัว โดยหลักๆ แล้วจะแบ่งออกเป็นสองโมเดลที่แตกต่างกัน โมเดลแรกเรียกว่า ‘การทำงานแบบอัดชั่วโมง (Compressed Work Week)’ ซึ่งพนักงานยังคงทำงาน 40 ชั่วโมงตามมาตรฐานเดิม แต่ใช้เวลาเพียง 4 วัน ซึ่งหมายถึงชั่วโมงการทำงานในแต่ละวันจะยาวนานขึ้น ส่วนอีกโมเดลซึ่งเป็นการพลิกโฉมครั้งใหญ่กว่า คือ ‘การทำงาน 4 วันอย่างแท้จริง’ ซึ่งใช้หลักการ ‘100-80-100’ ของ 4 Day Week Global เป็นแนวทาง นั่นคือ พนักงานรับเงินเดือน 100% ทำงานแค่ 80% ของเวลาเดิม แต่ต้องสร้างผลงานให้ได้ 100% เท่าเดิม
บทพิสูจน์ ‘ทำงาน 4 วัน’: ส่องผลการทดลองจริงจากทั่วโลก
มีงานวิจัยนานาชาติจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่นำเสนอข้อมูลและหลักฐานที่ชัดเจนว่า การทำงาน 4 วัน/สัปดาห์นั้นสามารถช่วยยกระดับสุขภาวะของพนักงานได้อย่างแท้จริง ตัวอย่างเช่น ผลการวิจัยครั้งประวัติศาสตร์ในสหราชอาณาจักรเมื่อปี 2022 ซึ่งเป็นการวิจัยที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ทำการทดลองเรื่องการทำงาน 4 วัน พบว่า 92% จาก 61 บริษัทที่เข้าร่วมโครงการ ตัดสินใจใช้รูปแบบการทำงานที่สั้นลงต่อ หลังพบว่าภาวะหมดไฟ (Burnout) ของพนักงานลดลงสูงสุดถึง 71% และความเครียดลดลงมากกว่า 39%
ข้อมูลนี้ได้รับการตอกย้ำจากงานวิจัยชิ้นใหม่ระดับโลกของ Boston College ที่ติดตามพนักงานเกือบ 3,000 คน ตลอด 6 เดือนของการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ โดยผลลัพธ์ชี้ว่า พนักงานมีภาวะหมดไฟลดลงถึง 67% และสุขภาพจิตดีขึ้น 41% ที่สำคัญที่สุดคือ การทดลองที่ได้ผลดีเหล่านี้ล้วนเป็นโมเดลที่ ‘ลดชั่วโมง แต่ไม่ลดเงินเดือน’ ไม่ใช่การอัดชั่วโมงทำงานให้แน่นขึ้น ซึ่งเป็นการชี้ให้เห็นความเชื่อมโยงโดยตรงระหว่างการปรับเปลี่ยนตารางเวลาและประโยชน์ด้านสุขภาพที่วัดผลได้เป็นรูปธรรม
เสียงสนับสนุนที่ดังกระหึ่มขึ้นเรื่อย ๆ ของการทำงาน 4 วัน ไม่ใช่แค่การทดลองของบริษัท แต่คือการตอบสนองโดยตรงต่อภาวะของแรงงานที่ใกล้ถึงขีดจำกัด ข้อมูลจาก LinkedIn ยืนยันว่าภาวะหมดไฟ (Burnout) อยู่ในระดับสูงเป็นประวัติการณ์ โดยคนรุ่นใหม่คือกลุ่มที่แบกรับความกดดันสูงสุด สิ่งนี้ยิ่งโหมกระพือความต้องการเปลี่ยนแปลง ดังที่ผลสำรวจปี 2022 พบว่าพนักงานกว่า 54% อยากได้การทำงาน 4 วัน/สัปดาห์ เป็นสวัสดิการอันดับต้น ๆ ขณะเดียวกันความคาดหวังต่อที่ทำงานที่เปลี่ยนไปหลังโลกยุค COVID-19 ได้ผลักดันให้สมดุลชีวิต หรือ Work-life Balance กลายเป็นค่านิยมใหม่ที่อาจสำคัญกว่าค่าตอบแทน การทำงาน 4 วัน จึงไม่ใช่ ‘ของแถม’ อีกต่อไป แต่เป็น ‘ความจำเป็น’ เชิงกลยุทธ์สำหรับองค์กรที่ต้องการดึงดูดและรักษาคนคุณภาพไว้ในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
-----------------------------------------------------------------------------------------------
Worth A Read
-----------------------------------------------------------------------------------------------
ถอดบทเรียน ‘ทำงาน 4 วัน’ ผ่านกรณีศึกษาจริง
การเปลี่ยนผ่านสู่การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์นั้นมีขั้นตอนและกระบวนการอย่างไรในทางปฏิบัติ? เพื่อตอบคำถามนี้ให้เห็นภาพชัดเจน เราได้รวบรวมกรณีศึกษาต่อไปนี้ ซึ่งจะพาไปเจาะลึกเบื้องหลังของบริษัทที่ได้นำโมเดลการทำงานที่พลิกโฉมวงการนี้ไปปรับใช้
- กรณีศึกษาชิ้นแรก ๆ ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลกคือการทดลองของ Microsoft Japan เมื่อปี 2019 ในโครงการ ‘Work-Life Choice Challenge’ ตลอดหนึ่งเดือนเต็ม พนักงานได้ลองทำงาน 4 วันโดยยังรับเงินเดือนเท่าเดิม และผลลัพธ์ที่ได้ก็คือประสิทธิภาพการทำงานที่เพิ่มขึ้นพรวดเดียวถึง 40% ไม่เพียงเท่านั้นบริษัทยังประหยัดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอย่างค่าไฟและค่ากระดาษไปได้อีกมหาศาล เบื้องหลังความสำเร็จนี้ไม่ได้มาจากการทำงาน ‘หนักขึ้น’ แต่มาจากการทำงาน ‘ฉลาดขึ้น’ ซึ่ง Microsoft ชี้ว่าหัวใจสำคัญคือการประชุมที่สั้นแต่ตรงประเด็น และการบริหารเวลาของพนักงานที่ดีกว่าเดิม
- เมื่อ Kickstarter ตัดสินใจใช้นโยบายทำงาน 4 วันอย่างถาวรในปี 2022 นั่นไม่ใช่การทำตามกระแส แต่เป็นหมากเกมที่คำนวณมาอย่างดีเพื่อแก้ปัญหาภาวะหมดไฟและการขาดความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร และผลลัพธ์ก็พิสูจน์แล้วว่าการตัดสินใจครั้งนี้คุ้มค่ามหาศาล บริษัทเผยว่าขวัญและกำลังใจของพนักงานดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่ผลงานโดยรวมของธุรกิจก็ไม่ได้ตกลงไปเลย เรื่องราวของ Kickstarter คือตัวอย่างในชีวิตจริงที่ชี้ให้เห็นว่า เมื่อเราเลิกยึดติดว่า ‘ชั่วโมงทำงานต้องเท่ากับผลงาน’ มันสามารถนำไปสู่ทีมที่ทั้งมีความสุขและทำงานเก่งขึ้นได้อย่างไร
- ด้วยความเข้าใจที่ว่าตารางการทำงานแบบเดียวใช้ไม่ได้กับทุกคน Panasonic จึงนำเสนอไอเดียสุดล้ำอย่างการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ในฐานะ ‘ทางเลือก’ ให้กับพนักงานในปี 2022 แนวทางที่ยืดหยุ่นนี้ให้อำนาจการตัดสินใจอยู่ในมือของพนักงานโดยตรง โดยเปิดโอกาสให้พวกเขาสามารถเลือกทำงานสัปดาห์ละ 4 วันได้ หากมันตอบโจทย์ชีวิตและสไตล์การทำงานของพวกเขา โมเดลของ Panasonic จึงกลายเป็นพิมพ์เขียวที่ใช้งานได้จริงสำหรับองค์กรยักษ์ใหญ่รายอื่นที่ต้องการตามเทรนด์การทำงานของโลกและสร้างความยืดหยุ่น โดยไม่ต้องวุ่นวายกับการ ‘ยกเครื่อง’ ระบบใหม่ทั้งหมดแบบบังคับใช้ทั่วทั้งองค์กร
- บริษัทที่ปรึกษาด้านบัญชีคาร์บอน comundo จากโคเปนเฮเกน คือกรณีศึกษาชั้นเยี่ยมของการสร้างองค์กรบนรากฐานของการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ตั้งแต่จุดสตาร์ท พวกเขาตั้งใจที่จะฉีกกรอบการทำงานแบบ 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น ด้วยการเปิดตัวว่าเป็นบริษัทที่ก้าวข้ามรูปแบบการทำงานแบบดั้งเดิม และทำให้ความยืดหยุ่นกลายเป็นดีเอ็นเอขององค์กรอย่างแท้จริง ผลลัพธ์ที่ได้ก็พิสูจน์แล้วว่าคุ้มค่า เมื่อพนักงานกว่า 83% ยืนยันว่ามี Work-life Balance ที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการตัดสินใจวางรากฐานเช่นนี้ส่งผลอย่างมหาศาลต่อความสุขของพนักงาน
เจาะลึกข้อดี-ข้อเสีย ‘ทำงาน 4 วัน’: คุ้มจริงหรือแค่เทรนด์ ?
การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ ไม่ใช่แค่การทดลองสุดโต่งอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจที่หลายองค์กรนำมาใช้จริง ทำให้การพูดคุยในประเด็นนี้ต้องมองลึกในหลายมิติมากขึ้น แน่นอนว่าข้อดีเรื่อง Work-life Balance หรือการรักษาคนเก่งไว้กับองค์กรนั้นมีข้อมูลพิสูจน์มากมาย แต่ก็ชัดเจนว่าโมเดลนี้ไม่ใช่ ‘ยาวิเศษ’ ที่เหมาะกับทุกคน ความสำเร็จขึ้นอยู่กับปัจจัยเฉพาะตัวทั้งประเภทธุรกิจ วัฒนธรรม และกลยุทธ์ของแต่ละบริษัท เพื่อให้มุมมองที่สมดุลและรอบด้าน เราจะมาแจกแจงให้เห็นถึงข้อดีที่น่าสนใจและความท้าทายที่สำคัญของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้
ผู้ที่สนับสนุนแนวคิดทำงาน 4 วัน/สัปดาห์ ต่างชี้ให้เห็นถึงข้อมูลและงานวิจัยจำนวนมากที่ยืนยันถึงข้อได้เปรียบทางธุรกิจที่สำคัญหลายประการ ตั้งแต่ประสิทธิภาพการทำงานที่เพิ่มขึ้นไปจนถึงการบริหารจัดการบุคลากรที่มีความสามารถ (Talent Management) ที่ดีขึ้น กรณีศึกษาที่เป็นตำนานอย่าง Microsoft Japan เมื่อปี 2019 เป็นตัวอย่างชั้นเยี่ยม ที่การลดชั่วโมงทำงานกลับทำให้ประสิทธิภาพการทำงานพุ่งพรวดถึง 40% พิสูจน์ให้เห็นว่า ‘เวลา’ ไม่เท่ากับ ‘ผลงาน’ เสมอไป และในยุคที่ตลาดแรงงานแย่งชิงคนเก่งกันอย่างดุเดือด การมีสวัสดิการทำงาน 4 วันก็เปรียบเสมือน ‘แม่เหล็ก’ ชั้นดีที่ช่วยดึงดูดและรั้งตัวพนักงานมือดีไว้ได้ นำไปสู่การลดปัญหาพนักงานลาออกที่สร้างความเสียหายต่อต้นทุนของบริษัท
ประโยชน์ของการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ ไม่ได้หยุดอยู่แค่ในงบดุลของบริษัท แต่ยังส่งผลดีอย่างมหาศาลต่อคุณภาพชีวิตของทีมงานและสังคมโดยรวม งานวิจัยหลายชิ้นยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า วันหยุดที่เพิ่มขึ้นช่วยลดทั้งความเครียดและภาวะหมดไฟ (Burnout) ทำให้สุขภาพกายและใจแข็งแรงขึ้น ผลดีต่อสังคมยังไม่หมดแค่นั้น งานวิจัยในอังกฤษชี้ว่าการเดินทางไปทำงานน้อยลงยังอาจช่วยลด Carbon Footprint ของประเทศได้อย่างมหาศาล ที่สำคัญ นี่อาจเป็นก้าวสู่ความเท่าเทียมทางเพศ เมื่อคนเรามีเวลาอยู่บ้านมากขึ้น ภาระงานในบ้านอาจถูกแบ่งเบาอย่างเป็นธรรมยิ่งขึ้น ช่วยลดอุปสรรคในสายอาชีพที่เหล่าคุณแม่ทำงานมักต้องเจอ

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายหลักของการทำงาน 4 วัน อยู่ที่การนำไปใช้จริง เพราะโมเดลนี้ไม่ใช่คำตอบสำหรับทุกอุตสาหกรรม ธุรกิจในภาคส่วนที่จำเป็นต้องมีการให้บริการอย่างต่อเนื่อง เช่น การดูแลสุขภาพ ธุรกิจค้าปลีก และงานบริการลูกค้า การรักษาระดับคุณภาพการบริการจะเป็นเรื่องยาก หากไม่มีการจัดตารางการทำงานที่ซับซ้อนและมีเวลาที่เหลื่อมกัน ซึ่งอาจสร้างอุปสรรคด้านการทำงานร่วมกันและการสื่อสารขึ้นได้ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมสำหรับบริษัทหลายแห่งทั่วโลก การทำให้การสนับสนุนลูกค้าเป็นไปอย่างต่อเนื่องและการประสานงานภายในไม่สะดุด ยังคงเป็นปริศนาชิ้นใหญ่ด้านการจัดการที่แก้ไม่ตก
แต่สิ่งที่ย้อนแย้งที่สุดก็คือ หากนำระบบทำงาน 4 วันมาใช้แบบไม่ถูกวิธี มันอาจกลายเป็นตัวทำลายสุขภาพจิตของพนักงานเสียเอง เช่น หากทำไปแล้วกลายเป็นแค่การอัดชั่วโมงทำงาน (Compressed Work Week) ให้ยาวขึ้นและเครียดกว่าเดิม ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือความเหนื่อยล้าและภาวะหมดไฟ (Burnout) ที่หนักหนาสาหัสกว่าเก่า ความเสี่ยงใหญ่หลวงอีกข้อคือการสร้างความเหลื่อมล้ำภายในองค์กรเอง ลองนึกภาพว่าทีมงานออฟฟิศได้หยุดเพิ่ม แต่พนักงานด่านหน้า (Customer-facing) ไม่สามารถหยุดได้ สิ่งที่จะตามมาก็คือความแตกแยกและความน้อยเนื้อต่ำใจในหมู่คนทำงานของบริษัทนั่นเอง
นอกเหนือจากปัญหาหน้างานที่อาจจะเกิดขึ้นแล้ว การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ยังมาพร้อมกับความท้าทายด้านการเงินและข้อกฎหมายที่ต้องเจอ โจทย์แรกคือ ถ้าประสิทธิภาพการทำงานไม่เท่าเดิมในเวลาที่น้อยลง บริษัทอาจต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้น ไม่ว่าจะมาจากการจ่ายโอที หรือต้องจ้างคนเพิ่ม อีกทั้งยังอาจต้องลงทุนก้อนโตไปกับเทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติเพื่อช่วยให้ทำงานได้เร็วขึ้น ที่สำคัญ องค์กรต้องไม่ลืมความยุ่งยากด้านกฎหมาย ทั้งการแก้ไขสัญญาจ้าง และการตรวจสอบให้แน่ใจว่าตารางการทำงานแบบใหม่นั้นไม่ขัดต่อกฎหมายแรงงานที่มีผลบังคัลใช้อยู่ในปัจจุบัน
ความท้าทายที่น่าคิดที่สุดอาจไม่ใช่เรื่องเงิน กฎหมาย หรือความท้าทายที่พูดมาก่อนหน้านี้ แต่เป็นกับดักทางจิตวิทยาที่เรียกว่า ‘Hedonic Treadmill’ หรือ ‘ลู่วิ่งแห่งความสุข’ ที่ซึ่งความสุขจากสิ่งใหม่อาจอยู่กับเราไม่นาน ทฤษฎีนี้อธิบายว่า มนุษย์เราเก่งกาจในการปรับตัว ความตื่นเต้นกับวันหยุดที่เพิ่มขึ้นจะค่อยๆ จางลง จนการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์กลายเป็นเรื่องปกติ และระดับความสุขของเราก็จะกลับไปอยู่ที่ ‘จุดเดิม’ มันคือเหตุผลเดียวกันกับที่คนถูกหวยร้อยล้านก็ไม่ได้มีความสุขไปตลอดชีวิต หรือคนที่เกษียณแล้วกลับรู้สึกโหยหาการกลับไปทำงาน ฉะนั้น บทพิสูจน์ที่แท้จริงของการทำงาน 4 วันจึงไม่ใช่ความรู้สึกดีในช่วง 6 เดือนแรก แต่คือการสร้างระบบที่มอบ ‘เป้าหมาย’ และ ‘ความผูกพัน’ ที่ยั่งยืนได้หรือไม่ ไม่ใช่แค่สร้าง ‘ช่วงเวลาดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์’ ที่สุดท้ายก็ต้องจบลง
ถึงวันนี้ ‘การทำงาน 4 วัน’ ไม่ใช่ไอเดียสุดโต่งอีกแล้ว แต่คือกลยุทธ์ที่ใช้ได้ผลจริง ที่มีทั้ง ‘ข้อดี’ ที่น่าดึงดูดใจ และ ‘ความท้าทาย’ ในการลงมือทำที่ต้องพิจารณาอย่างจริงจัง ดังนั้น หัวใจสำคัญของการบูรณาการโมเดลการทำงานดังกล่าวจึงไม่ได้อยู่ที่การ ‘ลดวันทำงาน’ แต่อยู่ที่การ ‘วางแผน’ ที่รัดกุมและชาญฉลาด
-----------------------------------------------------------------------
References and Image credits: