close

4 มิ.ย. 2568

“Onsite vs Work From Home vs Hybrid” รูปแบบไหนที่ใช่สำหรับคนทำงานแบบคุณ

Career Story

นับตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา โลกของการทำงานได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก โดยมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญจากรูปแบบการทำงานในสำนักงานแบบดั้งเดิม (Traditional office) หรือ การทำงานแบบ onsite ไปสู่รูปแบบการทำงานทางไกล ที่เราหลายคนคุ้นเคยอย่างมากช่วง COVID-19 และพูดกันติดปากไปว่าการทำงานแบบ Work From Home (WFH) และแบบไฮบริด ซึ่งเป็นรูปแบบการทำงานหลังสถานการณ์โรคระบาดดังกล่าวคลี่คลายลง

SCGC จึงขอพาทุกคนไปสำรวจความสำคัญของรูปแบบการทำงานทั้ง 3 แบบ พร้อมทั้งชวนวิเคราะห์ข้อดีและความท้าทายในการรักษาสไตล์การทำงานในสภาพแวดล้อมการทำงานที่หลากหลาย นอกจากนี้ยังมีการนำเสนอข้อมูลเชิงกลยุทธ์และเคล็ดลับที่สามารถนำไปปรับใช้ได้จริง เพื่อบูรณาการเทรนด์การทำงานทั้งแบบ Onsite, แบบ Work From Home หรือแบบ Hybrid ให้เกิดประสิทธิภาพกับการทำงานของคุณและตอบโจทย์ Work-Life Balance ได้อย่างลงตัว

----------------------------------------------------------------------------------------------------

SCGC กับคุณภาพชีวิตที่ดีของพนักงาน

การ “เชื่อมั่นในคุณค่าของคน” ซึ่งเป็นหนึ่งข้อสำคัญของรากฐานอุดมการณ์ในการดำเนินธุรกิจ 4 ประการของเอสซีจี ทำให้เรา SCGC เล็งเห็นความสำคัญของการดูแลพนักงานซึ่งเป็นทรัพยากรที่ทรงคุณค่าในองค์กรอย่างต่อเนื่องตลอดมา โดยมีนโยบายในการดูแลสภาพการทำงานและสวัสดิการให้แก่พนักงานที่สอดคล้องกับการทำงาน

ก่อนการระบาดของโควิดไม่กี่ปีก่อนหน้านั้น SCGC ได้เริ่มดำเนินการทรานส์ฟอร์มองค์กรทั้งในด้านการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจและการบูรณาการเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ากับทุกทัชพอยต์ ทำให้มีการปรับตัวในระดับหนึ่งอยู่แล้ว เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ COVID-19 ที่เริ่มระบาดในปลายปี 2019 เราจำเป็นต้องปรับตัวมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว เนื่องจากสถานการณ์การทำงานมีความท้าทายมากขึ้น ในขณะเดียวกัน ก็ต้องเพิ่มศักยภาพและพัฒนาความสามารถใหม่ ๆ พร้อมกับการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานเป็น Hybrid Workplace ที่ผสมผสานความยืดหยุ่นในการทำงาน โดยไม่จำเป็นต้องเข้ามาทำงานในสำนักงานตลอดเวลา เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปจากผลกระทบของโรคระบาด

นอกจากนี้ SCGC ยังส่งเสริมให้พนักงานสามารถทำงานในรูปแบบ Work From Home ได้ โดยจัดสิ่งอำนวยความสะดวกให้แก่พนักงานในหลายด้าน ตั้งแต่การจัดระบบการประชุมและการสื่อสารออนไลน์ (Online meeting and communication system) การจัดให้มีโมบายแอพพลิเคชั่น (Mobile Application) ในการรายงานการปฏิบัติงานประจำวัน และอื่น ๆ

เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง เราจัดให้มีรูปแบบการเรียนรู้ที่ผสมผสาน (Hybrid Learning) ทั้งรูปแบบออนไลน์, Digital (e-Learning), Virtual Classroom, Live Learning Session, Site Visit, Workshop Simulation, Coaching การเรียนรู้ผ่านการจัดทำโครงการ (Project Assignment) และการจัดการเรียนรู้ที่รองรับพนักงานเข้าอบรมที่สำนักงานและเรียนผ่านออนไลน์ได้พร้อมกัน โดยยังคงไว้ซึ่งการเรียนรู้แบบผสมผสาน 70:20:10 นอกจากนี้้ เราส่งเสริมให้จัดทำ “แผนพัฒนาส่วนบุคคล” สำหรับพนักงานเป็นรายบุคคลอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ผ่านรูปแบบต่าง ๆ เช่น การเรียนรู้แบบดิจิทัลและแบบ Live จากวิทยากรภายใน และภายนอกเอสซีจี การ coaching, on-the-job training, job shadowing, special projects, assignment พร้อมทั้งการ Mentoring โดยพนักงานสามารถเลือกพี่เลี้ยงด้วยตนเอง เพื่อสร้างความมั่นใจว่าพนักงานทุกคนจะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจให้ดำเนินไปอย่างราบรื่น และมีประสิทธิภาพ

----------------------------------------------------------------------------------------------------

Work From Home ยังเวิร์กอยู่ไหม?

การทำงานแบบ Work from Home ซึ่งตอนนี้อาจรวมถึงการทำงานแบบ Remote Work ได้กลายเป็นวิถีชีวิตแบบใหม่ (New Normal) สำหรับคนทำงาน หลายบริษัทเปิดโอกาสให้พนักงานเลือกสถานที่และเวลาทำงานได้ตามความสะดวกและความสมัครใจ ซึ่งมีพนักงานจำนวนไม่น้อยที่ชื่นชอบรูปแบบการทำงานเช่นนี้จนไม่อยากกลับไปทำงานในรูปแบบเดิมอีกต่อไป

พนักงานได้รับความอิสระในการทำงานอย่างเต็มที่ เพราะสามารถเลือกสถานที่ทำงานได้ตามความต้องการ ไม่ว่าจะนั่งทำงานจากที่บ้านเพื่อประหยัดค่าเดินทาง หรือกลับไปทำงานที่บ้านเกิดในต่างจังหวัด โดยไม่ต้องเสียค่าเช่าที่พักในเมืองหลวงให้ยุ่งยาก สำหรับคนที่พักอยู่กับครอบครัว ยังสามารถประหยัดค่าอาหารได้อีก เพราะมีคุณพ่อคุณแม่ช่วยทำอาหารให้ทาน ข้อดีอย่างหนึ่งของการทำงานแบบ Work From Home คือ ช่วยลดความเครียดให้กับพนักงานได้อย่างมาก เพราะไม่ต้องเผชิญกับบรรยากาศที่น่าเบื่อในออฟฟิศทุกวัน ไม่ต้องเจอมนุษย์ Toxic หรือการจับกลุ่มนินทาในที่ทำงาน เมื่อพนักงานได้ทำงานในบรรยากาศที่ผ่อนคลาย ก็สามารถสร้างสรรค์ผลงานออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

Owl Labsพบว่า 70% ของคนที่ Work From Home บอกว่า ที่ชอบทำงานที่บ้าน เพราะการประชุมงานทางออนไลน์สร้างความเครียดน้อยกว่าการประชุมงานที่ออฟฟิศ การทำงานที่บ้านไม่ทำให้เป็นออฟฟิศซินโดรม นอกจากนั้น กลุ่มตัวอย่างยังระบุอีกว่า เวลาทำงานที่บ้านจะเกิด Productivity หรือสามารถทำงานได้มากขึ้นกว่าเดิมถึง 47% และการทำงานที่บ้านในแต่ละวัน จะทำให้เสียเวลาไปกับเรื่องที่ไม่ช่วยให้ Productivity เพียง 10 นาทีต่อวันเท่านั้น

สำหรับตัวบริษัทเองก็ได้รับประโยชน์ในด้านการลดต้นทุนค่าใช้จ่าย เช่น ค่าสาธารณูปโภค ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเทอร์เน็ต รวมถึงค่าอุปกรณ์สำนักงานต่างๆ เนื่องจากเมื่อพนักงานทำงานจากที่บ้าน บริษัทก็ไม่จำเป็นต้องแบกรับค่าใช้จ่ายในส่วนนี้มากนัก อีกทั้งยังสามารถนำงบประมาณที่ลดลงไปจัดสรรเพื่อการจ้างพนักงานใหม่ๆ ซึ่งช่วยเสริมศักยภาพและขับเคลื่อนให้บริษัทมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

เหรียญอีกด้านของ Work From Home

แม้ว่าทุกคนจะได้รับอิสระในการทำงาน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะสะดวกกับสถานที่ทำงานของตัวเองเสมอไป บางคนอาศัยอยู่ในบ้านที่มีสมาชิกครอบครัวจำนวนมาก ไม่มีพื้นที่ส่วนตัวเพียงพอ และในช่วงเวลาทำงานอาจถูกรบกวนจากคนในบ้านจนทำให้เสียสมาธิได้ อีกทั้งยังมีเรื่องของอุปกรณ์และค่าใช้จ่ายที่พนักงานต้องรับผิดชอบเพิ่มเติมด้วยตัวเอง เช่น ค่าอินเทอร์เน็ตและค่าไฟที่อาจเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความท้าทายสำหรับการทำงานในรูปแบบนี้

ที่น่าสนใจก็คือ การทำงานแบบ Work From Home ยังอาจนำไปสู่อาการ Burn Out ได้เช่นกันเนื่องจากการต้องอยู่แต่ในบ้านเป็นเวลานานโดยไม่ได้ออกไปเจอโลกภายนอก อาจทำให้เกิดความเบื่อหน่ายและส่งผลต่อสุขภาพจิต ผลการสำรวจของ Monster ระบุว่า 69% ของคนที่ Work From Home จะเจอสภาวะจนหมดไฟในการทำงาน เพราะทำงานหนักเกินไป ไม่เพียงแค่นั้นกว่า 80% ของพนักงานที่ทำงานที่บ้าน ยังคิดถึงการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนในออฟฟิศ และ 68% คิดถึงการทำกิจกรรมร่วมกับคนในออฟฟิศด้วย   

ในส่วนของตัวบริษัทเอง อาจเผชิญความยากลำบากในการตามตัวหรือการติดต่อพนักงานบางคน เนื่องจากเมื่อมีการทำงานแบบ Work From Home พนักงานบางคนอาจใช้เวลางานไปทำธุระส่วนตัว หากมีงานด่วนที่ต้องรีบดำเนินการ แต่พนักงานไม่สามารถติดต่อได้ ก็อาจเกิดปัญหาตามมาในภายหลัง หรือในบางกรณี หากเราเป็นคนที่ปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสม แต่ต้องติดต่อเรื่องงานด่วนกับเพื่อนร่วมงานที่แอบอู้งาน ส่งข้อความไปแล้วไม่ตอบ หรือโทรไปแล้วไม่รับสาย ก็อาจต้องเสียเวลารอ ซึ่งแตกต่างจากการทำงานในออฟฟิศที่สามารถเดินไปหากันที่โต๊ะได้ทันที  ดังนั้น บริษัทจึงควรมีการกำหนดกฎเกณฑ์และแนวทางที่ชัดเจนเกี่ยวกับการทำงานแบบ Work From Home เพื่อให้พนักงานปฏิบัติตามและลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการทำงาน

แต่ไม่ได้หมายความว่าการทำงานแบบ Onsite ไม่จำเป็น

ก่อนจะถกเถียงกันในประเด็นนี้ เรามาทำความเข้ใจให้ตรงกันถึงรูปแบบการทำงานแบบ Onsite ก่อน นั่นคือ รูปแบบการทำงานดั้งเดิมที่พบได้ทั่วไปก่อน COVID-19 มักกำหนดให้พนักงานทุกคนต้องเข้าไปทำงานในบริษัทตามเวลาที่ระบุไว้ เช่น ทำงาน 5 วันต่อสัปดาห์ ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ เวลา 09.00-18.00 น. เป็นต้น บางองค์กรอาจมีความยืดหยุ่นให้กับพนักงาน โดยไม่กำหนดเวลาเข้า-ออกงานแบบตายตัว แต่ในบางองค์กรก็มีการกำหนดกฎเกณฑ์อย่างชัดเจน เช่น ห้ามมาทำงานสายหรือห้ามออกจากงานก่อนเวลาที่กำหนด

ข้อดีโดดเด่นของการทำงานแบบนี้ก็คือ เมื่อพนักงานทุกคนมาทำงานร่วมกันในบริษัท จะช่วยเพิ่มสมาธิและประสิทธิภาพในการทำงาน เนื่องจากไม่มีปัจจัยภายนอกรบกวน พร้อมด้วยอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกที่บริษัทจัดหาให้ครบครัน การติดต่อหรือพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานทำได้รวดเร็ว หากมีงานด่วนก็สามารถปรึกษาและแก้ไขปัญหาได้ทันที รวมถึงการประชุมแบบเห็นหน้ากันช่วยให้การทำงานมีความราบรื่นมากขึ้น นอกจากนี้ การทำงานใกล้ชิดกันยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในทีมและเพิ่มความคุ้นเคย ซึ่งส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมสูงขึ้น

บริษัทที่ให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกันที่ออฟฟิศมีความคิดสร้างสรรค์เพิ่มขึ้นถึง 30% และมีประสิทธิภาพในการทำงานสูงขึ้นอย่างน้อย 36% เมื่อเทียบกับบริษัทที่ไม่ได้ให้ความสำคัญ การทำงานร่วมกันในสถานที่ทำงานช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้พนักงานต่อยอดความคิดของกันและกันเพื่อพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ การทำงานร่วมกันยังสามารถเกิดขึ้นได้อย่างเป็นธรรมชาติในทุกช่วงเวลาและทุกพื้นที่ในสำนักงาน บางครั้งความคิดที่ดีที่สุดอาจเกิดขึ้นหลังการประชุม ขณะพนักงานพูดคุยระหว่างมื้อกลางวัน หรือเดินไปประชุมครั้งต่อไป การพบปะพูดคุยแบบสุ่มและพบกันตัวต่อตัวในที่ทำงานเป็นสิ่งสำคัญต่อความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม เราอย่าลืมนะว่า สิ่งประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ เช่น เครื่องบิน ไอศกรีม และอัลกอริธึมการค้นหา ไม่ได้เกิดขึ้นจากการคิดของคนเพียงคนเดียวในห้อง แต่เป็นผลลัพธ์จากการทำงานร่วมกันของผู้คนที่รู้ว่าการร่วมมือกันสามารถสร้างสิ่งที่น่าทึ่งได้ !

ตรงกันข้ามกับรูปแบบการทำงานแบบ Work From Home พนักงานต้องเผชิญค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น (อีกครั้ง) เช่น ค่าการเดินทาง ค่าอาหารกลางวัน ค่าเครื่องดื่มหรือของว่าง และค่าใช้จ่ายในการสังสรรค์หลังเลิกงาน บรรยากาศการทำงานที่ซ้ำซากในออฟฟิศอาจทำให้เกิดความเครียดหรือ Burn Out โดยเฉพาะคนที่บ้านอยู่ไกลซึ่งต้องเหนื่อยล้าจากการเดินทาง ส่วนบริษัทเองก็ต้องรองรับค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น ค่าไฟ ค่าอินเทอร์เน็ต และอุปกรณ์สำนักงานต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้พนักงาน

อีกหนึ่งหัวข้อชวนคิดที่อิงจากบริบทเชิงหัวหน้า-ลูกน้อง การทำงานแบบ Onsite หรือในออฟฟิศช่วยเสริมอำนาจให้กับผู้ที่อยู่เหนือกว่า เพราะสามารถตรวจสอบการทำงานของพนักงานได้ง่ายกว่า ต่างจากการ Work From Home ที่อาจทำให้พวกเขาขาดความมั่นใจในบทบาทของตนเอง เนื่องจากพนักงานสามารถทำงานได้โดยไม่ต้องมีการควบคุมใกล้ชิด จากการสำรวจของ Resume Builderพบว่าหัวหน้างานราว 21% ขู่ว่าจะไล่ออกหากพนักงานไม่กลับมาทำงานที่ออฟฟิศ แต่พนักงาน 2 ใน 3 ระบุว่าพวกเขาจะลาออกหาก “ถูกบังคับ” ให้กลับมาทำงานที่ออฟฟิศ

หรือว่า Hybrid Workplace จะเป็นทางออก

การทำงานในรูปแบบนี้คือการผสมผสานระหว่างการทำงานในออฟฟิศและการทำงานแบบ Work From Home โดยพนักงานไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศทุกวัน แต่บริษัทจะกำหนดวันเข้าออฟฟิศและวันทำงานที่บ้าน เช่น วันจันทร์-พุธ เข้าออฟฟิศ และวันพฤหัสบดี-ศุกร์ ทำงานที่บ้าน หรือบางบริษัทอาจใช้วิธีสลับทีมกันเข้าออฟฟิศ โดยรูปแบบและมาตรการจะขึ้นอยู่กับการวางแผนของแต่ละบริษัท

อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่คนไม่อยากทำงานแบบ Work From Home อาจพบได้น้อยกว่าคนที่อยากทำงานแบบนี้แต่ไม่สามารถทำได้ โดยเฉพาะในสายอาชีพที่สามารถทำงานจากที่ไหนหรือเวลาใดก็ได้ ทั้งนี้ ถ้าบริษัทและพนักงานได้ลองใช้เงื่อนไขของ Productivity และ Time Management เป็นตัวชี้วัด ก็อาจจะได้ภาพมุมกว้างที่สามารถนำไปกำหนดกรอบของการทำงานในรูปแบบที่ใช่กับทั้งสองฝ่ายได้ รวมถึงการสื่อสารระหว่างทีมและการแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้น การหาข้อตกลงร่วมกันและทดลองปรับใช้รูปแบบการทำงานทีละน้อย จะช่วยค้นหารูปแบบที่เหมาะสมที่สุดสำหรับพนักงานในองค์กร

SCGC เชื่อมั่นว่าไม่ว่าจะเป็นการทำงานในรูปแบบ Onsite, แบบ Work From Home หรือแบบ Hybrid เราทุกคนสามารถนำมาปรับใช้ให้เข้ากับความชอบในการทำงาน การเรียนรู้ และการใช้ชีวิต ที่สำคัญคือ การปรับถ่ายเปลี่ยนแปลงของรูปแบบการทำงานในปัจจุบันทำให้ทั้งองค์กรและพนักงานได้ใช้เป็นบทสนทนาร่วมกัน เพื่อต่อยอดไปสู่การทรานส์ฟอร์มของวัฒนธรรมในบริษัทที่ทุกฝ่ายใช้ประโยชน์ร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ


Is this article useful ?