Fast Fashion แฟชันเสิร์ฟด่วน หรือเสื้อผ้าแฟชันราคาถูกที่ครองใจนักช้อปนับล้านคนทั่วโลก ด้วยจุดเด่นด้านราคาและดีไซน์ที่หลากหลาย จึงทำให้ผู้คนเลือกซื้อสินค้า Fast Fashion แบบไม่ทันยั้งคิด ซึ่งการบริโภคอย่างฉาบฉวยเหล่านี้สามารถสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างคาดไม่ถึง
Fast Fashion เร่งวิกฤติสิ่งแวดล้อม ด้วยเสื้อผ้าแฟชันราคาถูก
ข้อมูลจาก IBISWorld ระบุว่าในปี 2025 มีธุรกิจผลิตเสื้อผ้าทั่วโลกมากถึง 432,536 ราย และมีอัตราเติบโตเฉลี่ยราว 1.6% ต่อปีนับตั้งแต่ปี 2020–2025 ซึ่งในจำนวนนี้คือผู้ผลิตเสื้อผ้าต้นทุนต่ำ ที่เน้นผลิตเสื้อผ้าจำนวนมากออกสู่ผู้บริโภค ซึ่งเราเรียกเทรนด์เสื้อผ้าเหล่านี้ว่า Fast Fashion
ขณะที่เราบ่นว่าไม่มีเสื้อผ้าจะใส่ แต่ทราบหรือไม่ว่า ปัจจุบันคนส่วนมากสวมใส่เสื้อผ้าซ้ำเพียง 7 ถึง 10 ครั้ง ซึ่งลดลงกว่า 35% ในระยะเวลา 15 ปี นอกจากนี้ Statista ได้ทำการประเมินข้อมูลเฉลี่ยจำนวนเสื้อผ้าที่แต่ละคนทั่วโลกซื้อใน 1 ปี พบว่า ปี 2025 แม้จะยังไม่หมดปี แต่เราซื้อเสื้อผ้าเฉลี่ยแล้ว 24 ชิ้นต่อคน ซึ่งตัวเลขอาจแตกต่างออกไปขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศ จึงไม่น่าแปลกใจที่ตลาด Fast Fashion ปีนี้จะมีมูลค่าสูงถึง 150.82 พันล้านดอลลาร์ และยังคาดว่าจะสูงถึง 291.1 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2032 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) อยู่ที่ 10.7% ตั้งแต่ปี 2024 ถึง 2032
เฉพาะในประเทศไทย ตลาด Fast Fashion ขยายตัวอย่างรวดเร็วแม้ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีแนวโน้มใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อม ก็กลับเป็นกลุ่มผู้สนับสนุนหลักที่ชื่นชอบสินค้าทันสมัยและราคาไม่แพง เมื่อปีที่ผ่านมา ได้มีผลสำรวจชี้ว่า คนไทย 40% ใส่เสื้อผ้าเพียงครั้งเดียวแล้วทิ้ง สะท้อนให้เห็นการบริโภคที่เกินจำเป็น และก่อให้เกิดขยะแฟชันเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หรือนี่อาจเป็นเพราะผู้คนจำนวนมากยังไม่ตระหนักว่าอุตสาหกรรมสิ่งทอส่งผลกระทบอย่างไรต่อสิ่งแวดล้อม
เสื้อผ้าแฟชัน ส่งผลกระทบต่อโลกอย่างไร?
นอกเหนือจากความสวยงาม สไตล์ หรือราคาแล้ว สิ่งที่ไม่อาจไม่พูดถึงเกี่ยวกับ Fast Fashion หรือบรรดาเสื้อผ้าแฟชันราคาถูก ก็คือปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันอุตสาหกรรมสิ่งทอได้ประทับรอยคาร์บอนฟุตพริ้นต์บนโลกมากถึง 10% ของปริมาณคาร์บอนฟุตพรินต์ทั้งหมด มากกว่าการปล่อยมลพิษจากการบินระหว่างประเทศและการขนส่งทางทะเลรวมกัน มีข้อมูลเปิดเผยว่า ในปี 2024 อุตสาหกรรมนี้ได้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากถึง 1.2 พันล้านตันต่อปี และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีก 50% ภายในปี 2030
หากจะว่ากันตามเนื้อผ้า ผ้าฝ้ายที่แม้จะเป็นเส้นใยธรรมชาติแต่กลับสร้างมลพิษตั้งแต่ในกระบวนการปลูกที่ต้องใช้น้ำปริมาณมาก และสารเคมีที่ปนเปื้อนในแหล่งน้ำและดิน ในกระบวนการผลิต เส้นใยฝ้ายหนึ่งตันต้องใช้น้ำมากถึง 3,644 ลูกบาศก์เมตร หรืออีกทางเลือกหนึ่ง เส้นใยโพลีเอสเตอร์ วัสดุสังเคราะห์จากแหล่งเชื้อเพลิงฟอสซิล ก็ใช้ทรัพยากรน้ำมันมากถึง 70 ล้านบาเรลต่อปีเพื่อนำมาผลิตเป็นเส้นใยสิ่งทอ แต่สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดก็คือ เราใช้ทรัพยากรจำนวนมาก และก่อมลพิษอีกไม่น้อยเพื่อผลิตเสื้อผ้าแฟชัน ทว่าเสื้อผ้าเหล่านี้กลับมีจุดจบอยู่ที่บ่อขยะ มีข้อมูลยืนยันชัดว่าการบริโภคเสื้อผ้าแฟชันราคาถูกอย่างฉาบฉวยผลิตขยะสิ่งทอมากถึง 92 ล้านตันต่อปี และอาจเพิ่มเป็น 134 ล้านตันในปี 2030
เส้นใยรีไซเคิล ทางเลือกที่ยั่งยืนกว่า
แล้วถ้ากระแส Fast Fashion ยังไม่สิ้นสุดลง เราจะมีทางเลือกที่ยั่งยืนกว่าอย่างไร คำตอบอยู่ที่การเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างเส้นใยรีไซเคิล หรือเส้นใยจากฝ้ายที่ปลูกแบบออร์แกนิก ข้อมูลจาก Carbon Trial ว่าฝ้ายออร์แกนิกใช้น้ำในกระบวนการปลูกน้อยกว่า 91% และปล่อยมลพิษน้อยกว่า 46% เมื่อเทียบกับการปลูกฝ้ายแบบดั้งเดิม หรือการใช้เส้นใยรีไซเคิลก็ช่วยให้การใช้ทรัพยากรคุ้มค่ายิ่งขึ้น
ตัวอย่างหนึ่งของเส้นใยรีไซเคิลได้แก่ เส้นใยที่ผลิตจากอวนประมงที่ไม่ใช้แล้ว ซึ่งนำมาผ่านกระบวนการรีไซเคิลเป็นเส้นใยเพื่อถักทอเป็นผืนผ้าสำหรับสินค้าแฟชัน ทั้งเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า ดังเช่นโมเดล NETS UP ที่ SCGC ร่วมมือกับพันธมิตรในการเปลี่ยนอวนประมงใช้แล้ว ให้เป็น Marine Materials เส้นใยรีไซเคิลที่ผลิตเป็นสินค้าได้มากมาย
ที่มาของโมเดล Nets Up เกิดจากความมุ่งมั่นของ SCGC ในการขับเคลื่อนองค์กรตามแนวทาง Low Waste, Low Carbon ร่วมกับการประยุกต์ใช้หลักเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างเป็นรูปธรรม โดยโมเดล NETS UP ได้เชื่อมโยงห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) อย่างครบวงจร เริ่มต้นที่การจัดการอวนประมงที่ไม่ใช้แล้วผ่านระบบธนาคารขยะชุมชน ด้วยแอปพลิเคชัน “คุ้มค่า” (KoomKah) แล้วนำอวนประมงที่ได้เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล ด้วยความเชี่ยวชาญด้านเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง หรือ High Quality PCR (High Quality Post-Consumer Recycled Resin) ของ SCGC จากนั้นจึงนำไปต่อยอดอัปไซเคิลเป็น Marine Materials วัสดุรีไซเคิลจากอวนประมงไม่ใช้แล้ว อย่างเส้นใยรีไซเคิล เพื่อผลิตเป็นสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น ชุดชั้นในแบรนด์ Sabina สินค้าไลฟ์สไตล์จากแบรนด์ Earthology Studio อาทิ เสื้อผ้าแฟชัน กระเป๋า เก้าอี้ชายหาด เป็นต้น ซึ่งตอบโจทย์แบรนด์สินค้าที่มีเป้าหมายด้านความยั่งยืน ชมตัวอย่างสินค้าเพิ่มเติม
แม้การจำกัดการบริโภคจะเป็นแนวทางที่จำเป็นต่อการอนุรักษ์ทรัพยากรและช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่เราก็มีทางออกที่ยั่งยืนอีกทาง นั่นคือการหมุนเวียนใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น การเลือก mix & match เสื้อผ้าให้ใส่ซ้ำได้หลายครั้ง ด้วยการเลือกเสื้อผ้าชิ้นหลักเป็นเสื้อผ้าคุณภาพดี คงทน และตัดเย็บอย่างพิถีพิถัน แล้วค่อยปรับเปลี่ยนให้ดูน่าสนใจมากขึ้นด้วยการเติมเครื่องประดับ รองเท้า และอื่น ๆ หรือการเลือกใช้สินค้าที่ผลิตจากวัสดุรีไซเคิล ซึ่งมีแบรนด์สินค้าชั้นนำมากมายที่ผลิตจากเส้นใยรีไซเคิล เหล่านี้จะช่วยให้การบริโภคคุ้มค่า ไม่ก่อให้เกิดขยะ ไม่สร้างมลพิษ และดีต่อทุกชีวิตบนโลก