close

24 ก.ค. 2568

SCGC ชูกลยุทธ์สู้ความผันผวน ท่ามกลางนโยบายการค้า กำแพงภาษี และเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอน

Business Sustainability Digitization Investor Relations

ปี 2025 ปีแห่งความไม่แน่นอนในหลายมิติ ทั้งด้านการเมือง สังคม สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ ไม่เฉพาะในประเทศไทย หากมองออกไปยังนานาประเทศ ก็จะพบความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่ส่งสัญญาณเตือนให้ผู้คนและภาคธุรกิจเร่งปรับตัวให้ไว เพื่อยืนหยัดให้ได้ในบริบทของสังคมโลกที่มีความผันผวน


------------------------------------------------------------------

ทุกสำนักชี้ 2025 เศรษฐกิจโลกชะลอตัว

ด้วยแรงกดดันจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่แน่นอนและนโยบายด้านการค้าที่เข้มงวด โดยเฉพาะการปรับขึ้นภาษีศุลกากร หรือการตั้งกำแพงภาษี และมาตรการตอบโต้ทางการค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจ ทั้งสหรัฐฯ จีน และสหภาพยุโรป ส่งผลให้เศรษฐกิจในหลายประเทศชะลอตัว นักลงทุนต่างพากัน ‘แตะเบรก’ เพื่อรอความชัดเจนว่าแต่ละประเทศจะดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจและแก้เกมการค้าครั้งนี้อย่างไร

UN Trade and Development (UNCTAD) ได้เปิดเผยข้อมูลความไม่แน่นอนและความผันผวนในตลาดการเงิน พบว่าดัชนีความไม่แน่นอนทางนโยบายเศรษฐกิจ (Economic Policy Uncertainty Index) พุ่งสูงขึ้นในรอบหลายสิบปี ขณะที่องค์กรระหว่างประเทศทั้ง IMF, World Bank และ OECD (Organisation for Economic Co-operation and Development) ซึ่งเป็นองค์กรเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ คาดการณ์ตรงกันว่า GDP โลกในปี 2025 จะลดลงเหลือเพียง 2.3-2.9% เป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจปี 2008 (ยกเว้นช่วงโควิด-19)

US Tariffs กำแพงภาษีที่ขวางกั้นการเติบโตของเศรษฐกิจโลก?

ภาษีศุลกากร (Tariff) คือภาษีที่ประเทศหนึ่งเรียกเก็บจากสินค้าที่นำเข้าจากอีกประเทศหนึ่ง มักใช้เป็นเครื่องมือในการปกป้องสินค้าที่ผลิตในประเทศให้มีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น โดยในปี 2025 คำคำนี้ได้ถูกพูดถึงอย่างมากจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่เรียกเก็บภาษีศุลกากรในอัตราที่สูงขึ้น หรือที่เรียกว่า US Tariffs หรือกำแพงภาษีสหรัฐฯ โดยเริ่มจากการประกาศเพิ่มภาษีศุลกากรต่อสินค้านำเข้าจากคู่ค้าหลัก เช่น จีน แคนาดา และเม็กซิโก ก่อนจะตามมาด้วยประเทศคู่ค้าอื่น ๆ รวมทั้งประเทศไทย

การตั้งกำแพงภาษีของสหรัฐฯ หรือ US Tariffs ผลกระทบสำคัญไม่ได้อยู่ที่ประเทศคู่ค้าเพียงอย่างเดียว แต่ US Tariffs ยังส่งผลกระทบให้ GDP ของสหรัฐฯ ลดลงประมาณ 0.6-1.0% ในปี 2025 จากการส่งออกที่ลดลงและความต้องการภายในประเทศที่อ่อนแอ ส่วนในมุมมองการค้าระหว่างประเทศ องค์การการค้าโลกหรือ WTO คาดว่าปริมาณการค้าโลกจะลดลงอย่างน้อย 0.2% และอาจลดลงถึง 1.5% หากความตึงเครียดทางการค้าทวีความรุนแรงขึ้น

จากความไม่แน่นอนที่อาจส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโลก ทั้งต้นทุนการค้าที่เพิ่มขึ้น ปริมาณการค้าที่หดตัวลง และตลาดการเงินที่ผันผวนอย่างมาก ทำให้ภาคธุรกิจต้องเร่งพลิกสถานการณ์และเพิ่มโอกาสในการแข่งขัน ด้วยการเพิ่มความยืดหยุ่นทางการเงินและการบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยลดต้นทุนและสร้างความได้เปรียบให้กับธุรกิจ มุ่งต่อยอดและพัฒนาธุรกิจใหม่ ควบคู่ไปกับการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็งและไวต่อการปรับตัว ทั้งหมดนี้ก็จะช่วยให้ธุรกิจพร้อมรับความท้าทายจากนโยบายการค้าและกำแพงภาษี ไปสู่การเติบโตอย่างมั่นคง

เปิดกลยุทธ์ SCGC เพิ่มศักยภาพการแข่งขัน สร้างโอกาสเติบโตต่อเนื่อง

ขณะที่เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับแรงกดดันจากหลายด้าน สถานการณ์ปิโตรเคมีที่ยังคงผันผวนและมีการแข่งขันที่รุนแรงอย่างต่อเนื่อง ทว่า SCGC ยังมีความพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ด้วยการบริหารจัดการกระแสเงินสดเพื่อเสริมความเข้มแข็งทางการเงิน พร้อมทั้งปรับกลยุทธ์เชิงรุกทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ โดย SCGC มีกลยุทธ์ระยะสั้น ได้แก่

    • การลดต้นทุนวัตถุดิบ ลดเงินทุนหมุนเวียน และลดค่าใช้จ่ายด้วย Digital และ AI
    • เร่งพัฒนากลุ่มสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง หรือ HVA (High Value Added Products & Services) รวมไปถึงการพัฒนาพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Polymer) ตอบโจทย์เมกะเทรนด์และความต้องการใช้งานของแบรนด์สินค้าและผู้บริโภค
    • เร่งขยายธุรกิจ Service Solutions ครบวงจร
    • การขยายธุรกิจผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปจาก PVC (PVC Fabrication)

สำหรับกลยุทธ์ระยะยาว ได้แก่ การเพิ่มวัตถุดิบก๊าซอีเทนที่โรงงาน LSP ประเทศเวียดนาม (โครงการ LSPE) เพื่อลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน

ต่อยอดความเชี่ยวชาญ คว้าโอกาสทางธุรกิจจากเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน

แม้โลกทุกวันนี้จะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่สิ่งที่ทำให้ธุรกิจเผชิญกับความท้าทายได้อย่างแน่นอนก็คือการไม่หยุดคิดค้นพัฒนา ซึ่งเป็นแนวทางที่ SCGC มุ่งเน้นเสมอมา จากจุดแข็งของทีมงานที่เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์จริง นำไปสู่การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมระดับสากล เพื่อสร้างสรรค์สินค้าและบริการมูลค่าเพิ่มสูง (HVA: High Value Added Products & Services) และพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Polymer) การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) รวมทั้งการขยายและต่อยอดสร้างธุรกิจใหม่จากความเชี่ยวชาญของ SCGC

การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมระดับสากล (Innovation Management) เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added Products & Services หรือ HVA) รวมถึงพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Polymer) จากความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและการเข้าใจความต้องการของลูกค้าในเชิงลึก ควบคู่ไปกับการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรม (Open Innovation) ทั้งจากภายในและจากการสร้างความร่วมมือกับองค์กรต่าง ๆ SCGC จึงได้จัดตั้ง “ศูนย์นวัตกรรมครบวงจร i2P Center” (Ideas to Products) โดยมีเครือข่ายนวัตกรรมจากทั่วโลก เพื่อช่วยลูกค้า เจ้าของแบรนด์ หน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ รวมทั้งพันธมิตรทางธุรกิจในการค้นหาไอเดียและ เทรนด์ที่น่าสนใจ พร้อมต่อยอดเป็นนวัตกรรมที่สร้างการเติบโตให้กับธุรกิจ

ศูนย์นวัตกรรมครบวงจร i2P Center (Ideas to Products) เป็นศูนย์นวัตกรรมที่ทำงานอย่างใกล้ชิดกับลูกค้า ตั้งแต่การทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้า การระดมสมอง การต่อยอดเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ ก่อนนำมาสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างเป็นรูปธรรม จับต้องได้จริง ด้วยกระบวนการขึ้นรูปผลิตภัณฑ์ต้นแบบที่สามารถทำได้อย่างครบวงจร โดย SCGC มีทีมงานด้านวิจัยและพัฒนาที่มีความชำนาญรอบด้าน อาทิ ด้านวัสดุพอลิเมอร์ การออกแบบผลิตภัณฑ์ กระบวนการขึ้นรูปผลิตภัณฑ์ จึงสามารถผลิตสินค้าต้นแบบให้กับลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว นำไปสู่นวัตกรรมเชิงพาณิชย์จำนวนมาก

ที่ผ่านมา i2P Center ได้สร้างสรรค์นวัตกรรมสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (HVA) มาแล้วมากมาย โดยเฉพาะสินค้าที่ตอบรับเมกะเทรนด์โลก ทั้งพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นวัตกรรมเพื่อยานยนต์แห่งอนาคต การเติบโตของเมืองและโครงสร้างพื้นฐาน สุขภาพและการแพทย์ และพลังงานทางเลือก ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนอยู่รอบตัวผู้บริโภค และยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับผู้คน ปัจจุบัน i2P Center มีโครงการพัฒนานวัตกรรมกว่า 100 โครงการ และสามารถออกผลิตภัณฑ์ใหม่ได้เฉลี่ยปีละ 25-30 รายการ ซึ่งทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทรนด์ผู้บริโภคและความต้องการของลูกค้า

การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain)โดยเฉพาะการเพิ่มขีดความสามารถในการจัดการโรงงานด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น AI (Artificial Intelligence) และระบบ Robotics & Automation เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต (Productivity) และยกระดับความปลอดภัยในโรงงาน นอกจากนี้ ยังสามารถช่วยคาดการณ์การทำงานของเครื่องจักรในกระบวนการผลิตได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้ถูกออกแบบขึ้นให้เหมาะสมกับแต่ละโรงงาน เช่น ระบบ Robotics & Automation ของโรงงานนวพลาสติกอุตสาหกรรม ซึ่งผลิตท่อและข้อต่อ PVC รวมไปถึงผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปจาก PVC

บริษัท นวพลาสติกอุตสาหกรรม จำกัด หรือ NPI ในกลุ่มธุรกิจ SCGC โรงงานที่มีสัดส่วนการนำหุ่นยนต์มาใช้ภายในโรงงาน (Robot Density) ระดับ Best in Class ของโลก โดยนำ Robotics & Automation มาใช้ในกระบวนการผลิตเพื่อยกระดับคุณภาพสินค้า ตลอดจนประสิทธิภาพ และความปลอดภัยอย่างสูงสุด ทุกกระบวนการผลิตเน้นความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวทางของอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) ได้รับการรับรองโรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Factory) และเป็นรายแรกในไทยที่ได้รับการรับรองฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นต์ผลิตภัณฑ์ (CFP) และฉลากลดโลกร้อน (CFR) นวัตกรรมสินค้าคาร์บอนต่ำ (Low Carbon) จากกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 2,180,000 kgCO2eq/ปี เทียบเท่าการปลูกต้นไม้กว่า 260,000 ต้น* (หมายเหตุ : *จากการทำคาร์บอนฟุตพริ้นต์องค์กร (CFO) ของบริษัทนวพลาสติกอุตสาหกรรม จำกัด ในปี 2023 โดยต้นไม้ในที่นี้ หมายถึง ต้นสัก ที่สามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 8.6 kgCO2eq อ้างอิงจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.))

บริษัท นวพลาสติกอุตสาหกรรม จำกัด หรือ NPI ผู้นำด้านธุรกิจท่อในประเทศไทยและอาเซียนภายใต้แบรนด์หลัก คือ “ท่อเอสซีจี” รวมทั้งผลิตภัณฑ์ประตูหน้าต่างไวนิล ภายใต้แบรนด์ “วินด์เซอร์” (WINDSOR) ด้วยประสบการณ์อันยาวนานกว่า 55 ปี นวพลาสติกฯ ได้พัฒนานวัตกรรมสินค้าและบริการ เพื่อตอบโจทย์ครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า เดินหน้ายกระดับคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้น พร้อมส่งมอบสินค้าคุณภาพทุกชิ้นจากระบบการผลิตอัตโนมัติที่ล้ำสมัย ผ่านการรับรองมาตรฐานทั้งในไทยและระดับสากล ข้อมูลเพิ่มเติม : www.nawaplastic.com

การขยายและต่อยอดสร้างธุรกิจใหม่จากความเชี่ยวชาญของ SCGC ที่ไม่จำกัดเพียงการเป็นผู้นำด้านพอลิเมอร์เท่านั้น แต่ยังนำองค์ความรู้ที่สั่งสมมาตลอดการดำเนินธุรกิจมาต่อยอดเป็นธุรกิจใหม่ ที่สามารถสร้างการเติบโตได้ในอนาคต

“DRS by REPCO NEX” (Digital Reliability Service Solutions)ดิจิทัลโซลูชันอัจฉริยะสำหรับภาคอุตสาหกรรมรายแรกของโลก ที่ดูแลประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักรแบบครบวงจร (Asset Performance Management) ด้วยการผสานศักยภาพด้าน “การซ่อมบำรุงอัจฉริยะครบวงจรด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล” ร่วมกับ “ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน” และ “ดิจิทัลแพลตฟอร์มที่ช่วยบริหารจัดการพลังงานหมุนเวียน” ช่วยยกระดับการดูแลเครื่องจักรและเพิ่มความสามารถในการผลิต (Productivity) โดยให้บริการลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น อุตสาหกรรมโรงไฟฟ้า น้ำมันและก๊าซ อาหารเครื่องดื่ม และสาธารณูปโภค เป็นต้น ช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้พาร์ตเนอร์ในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ข้อมูลเพิ่มเติม : www.repconexis.com

นำผลพลอยได้จากกระบวนการผลิต (By-product) มาต่อยอดเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ เพิ่มมูลค่า พัฒนาเป็นสินค้าและบริการมูลค่าเพิ่มสูง (HVA) ที่ตอบโจทย์ความต้องการของอุตสาหกรรม อาทิ การนำอะเซทิลีนที่เป็นผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตของโรงงานโอเลฟินส์ ไปเป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตอะเซทิลีนแบล็ก (Acetylene Black) ซึ่งเป็นส่วนประกอบนำไฟฟ้าในการผลิตขั้วแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และการนำผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตของโรงงานพอลิโอเลฟินส์ ไปเป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตสาร Phase Change Material (PCM) ซึ่งนำไปพัฒนาใช้ในโซลูชันด้านการควบคุมอุณหภูมิและประหยัดพลังงานสำหรับธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็น อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ อาคารสำนักงาน และ data center ภายใต้แบรนด์ “CHILLOX” (ชิลล็อกซ์) เป็นต้น ข้อมูลเพิ่มเติม : contact@texplore.co.th

กลยุทธ์ด้านการดำเนินของ SCGC สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมองค์กรที่ไม่หยุดนิ่ง และพร้อมขับเคลื่อนธุรกิจไปสู่สิ่งที่ดีกว่าอยู่เสมอ ด้วยความพร้อมของทีมงาน ความชำนาญในอุตสาหกรรม และความเชี่ยวชาญในธุรกิจ จึงมั่นใจได้ว่า SCGC จะสามารถเติบโตได้ ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่แปรเปลี่ยนและความท้าทายต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต


Is this article useful ?