SCGC Explainer:
- ในปี 2026 อุตสาหกรรมพลาสติกจะเผชิญกับความท้าทายจาก ‘กฎและข้อบังคับด้านความยั่งยืน’ ที่มีแนวโน้มเข้มงวดขึ้นในหลายประเทศที่พัฒนาแล้ว
- เมื่อพิจารณาถึง ‘ข้อจำกัด’ ของนวัตกรรมและเทคโนโลยีรีไซเคิลที่มีอยู่ในปัจจุบัน ผู้เล่นในห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมพลาสติกต่างก็กำลังสำรวจแนวทางที่เป็นไปได้ 2 ทาง คือ พลาสติกชีวภาพ และเศรษฐกิจหมุนเวียนของพลาสติกที่ต้องเร่งรัดมากขึ้น
- แรงผลักดันจากลูกค้ารายใหญ่ (เช่น กลุ่มยานยนต์และบรรจุภัณฑ์) ที่มีความต้องการใช้วัตถุดิบรีไซเคิลที่ได้มาตรฐาน อาจมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางตลาด ควบคู่ไปกับการปรับตัวตามกฎข้อบังคับ
--------------------------------------------------------------------------------------------
เมื่อเข้าสู่เดือนสิงหาคม ปี 2026 สหภาพยุโรปจะบังคับใช้กฎหมาย PPWR หรือ กฎระเบียบว่าด้วยบรรจุภัณฑ์และขยะจากบรรจุภัณฑ์ (Packaging and Packaging Waste Regulation) ฉบับใหม่ ที่มีเป้าหมายเพื่อยกระดับมาตรฐานการจัดการบรรจุภัณฑ์ทั่วทั้งทวีปยุโรป ขณะเดียวกัน Advanced Recycling ซึ่งเป็นการนำพลาสติกใช้แล้วมาผลิตเป็นวัตถุดิบตั้งต้นสำหรับธุรกิจปิโตรเคมี หรือที่เรียกว่า Circular Naphtha สะท้อนถึงความพยายามในการสร้างระบบรีไซเคิลที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ความเคลื่อนไหวครั้งนี้คือ สัญญาณแห่งโอกาส ในปี 2026 ที่จะผลักดันให้อุตสาหกรรมพลาสติกและการรีไซเคิลเติบโตไปอีกขั้น ด้วยการยกระดับสู่ ‘มาตรฐานสากลที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น’ ควบคู่ไปกับการทลายขีดจำกัดทางเทคโนโลยี เรื่องของพลาสติกจึงไม่ใช่แค่ภารกิจที่ต้องทำ แต่เป็น ‘พันธกิจร่วมกัน’ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง โดยผู้นำที่จะประสบความสำเร็จในอุตสาหกรรมพลาสติกและการรีไซเคิลคือผู้ที่สามารถผสาน ‘ความต้องการของตลาด’ เข้ากับ ‘ความเป็นไปได้ทางเทคโนโลยี’ ได้อย่างลงตัวและมีประสิทธิภาพ
กฎระเบียบ : ความจริงที่ต้องรับมืออย่างสร้างสรรค์
จากรากฐานความยั่งยืนกว่าหลายสิบปีที่อุตสาหกรรมพลาสติกถือปฎิบัติกันมาอย่างเข้มงวดและจริงจัง ปี 2026 คือช่วงเวลาสำคัญที่แนวคิดนี้จะถูกยกระดับสู่หัวใจหลักในการขับเคลื่อนธุรกิจอย่างบูรณาการมากยิ่งขึ้น ผู้เล่นในห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมพลาสติกจะได้เพิ่มการดูแลผลิตภัณฑ์แบบครบวงจร (Extended Producer Responsibility: EPR) ซึ่งไม่เพียงตอบรับกับมาตรฐานโลกใหม่ แต่ยังเป็นการสร้างมาตรฐานที่เหนือกว่าให้กับอุตสาหกรรม การเปลี่ยนแปลงของกฎระเบียบในครั้งนี้ จึงเป็น ‘ตัวเร่ง’ ให้ทุกภาคส่วนของอุตสาหกรรมนี้ได้พัฒนานวัตกรรมเพื่อสร้างคุณค่าใหม่ตลอดห่วงโซ่อุปทาน เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนไปพร้อมกับโลก
นี่ไม่ได้เป็นแค่การตั้งเป้าแบบ ‘ใครใคร่ทำ...ทำ’ อีกต่อไป ลองดูตัวอย่างจากกฎหมาย PPWR หรือ กฎระเบียบว่าด้วยบรรจุภัณฑ์และขยะจากบรรจุภัณฑ์ (Packaging and Packaging Waste Regulation) ของสหภาพยุโรปก็มีการบังคับอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรว่า ในบรรจุภัณฑ์หนึ่ง ๆ ต้องมีส่วนผสมของพลาสติกรีไซเคิลขั้นต่ำเท่าไร และมีการห้ามใช้บรรจุภัณฑ์บางประเภทระบุไว้ด้วย ส่วนฝั่งอังกฤษเองก็ใช้มาตรการ EPR ซึ่งเป็นหลักการความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้นของผู้ผลิต เรียกเก็บค่าธรรมเนียมแบบยิ่งรีไซเคิลยาก ก็ต้องยิ่งจ่ายแพงขึ้น นั่นเท่ากับว่า ความสามารถในการรีไซเคิลได้กลายเป็น ‘ต้นทุน’ ที่ผู้ประกอบการเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าเป็นกฎหมายระดับรัฐในอเมริกา หรือร่างกฎหมาย EPR และ มาตรการแบนการนำเข้าขยะพลาสติกของไทย ปี 2568 ทุกข้อกำหนดล้วนส่งสัญญาณไปในทิศทางเดียวกัน
เหนือสิ่งอื่นใด คือการเจรจา สนธิสัญญาพลาสติกระดับโลก (Global Plastic Treaty) ที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย ซึ่งเริ่มส่ง ‘แรงกระเพื่อม’ มาถึงห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chains) แล้วตั้งแต่ตอนนี้ และอาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในระดับโลก ในวงประชุมของผู้บริหารระดับสูงทุกวันนี้ ไม่ได้คุยกันแล้วว่า ‘จะทำหรือไม่’ แต่คุยกันว่า ‘จะทำได้เร็วแค่ไหน’ ข้อเสนอล่าสุดของสหภาพยุโรปในการยกระดับการวัดผลและรายงานข้อมูลรีไซเคิล ถือเป็นจุดสิ้นสุดของการตลาดแบบฟอกเขียว และเปิดทางให้กับความโปร่งใสที่ตรวจสอบได้จริง ซึ่งกำลังผลักดันให้แบรนด์ต่าง ๆ ต้องหันไป ‘คุมเข้ม’ ซัปพลายเออร์ของตัวเองมากขึ้น
สองพลังบวกความยั่งยืน 'เศรษฐกิจหมุนเวียนพลาสติก' และ 'พลาสติกชีวภาพ'
กระแสความตื่นตัวของโลกที่จะขับเคลื่อนเทรนด์ปี 2026 ของพลาสติกและการรีไซเคิลประกอบด้วย ‘สองพลังบวก’ ที่สำคัญ คือ พลาสติกชีวภาพ (Bioplastics) และเศรษฐกิจหมุนเวียนพลาสติก (Circular Economy for Plastics) ที่จะเติบโตควบคู่กัน
พลาสติกชีวภาพกลายเป็นดาวรุ่งที่ถูกจับตามองในขณะนี้ ด้วยแรงหนุนจากผู้บริโภคและกฎระเบียบ ทำให้ตลาดนี้มีแนวโน้มเติบโตแบบก้าวกระโดด มีรายงานคาดการณ์ว่าจากมูลค่า 15.57 พันล้านดอลลาร์ฯ ในปี 2024 จะพุ่งไปถึง 44.77 พันล้านดอลลาร์ฯ ในปี 2030 (CAGR 19.5%) วัสดุอย่าง PLA ที่ผลิตจากข้าวโพดหรืออ้อย จึงถูกมองว่าเป็นความหวังของพลาสติกทางเลือกที่สามารถย่อยสลายได้
แม้ในช่วงของการขยายตัวอาจต้องเผชิญกับโจทย์เรื่องต้นทุนและการจัดระเบียบมาตรฐาน แต่สิ่งเหล่านี้คือ ‘ความท้าทายที่คุ้มค่า’ ในการยกระดับอุตสาหกรรม สำหรับประเด็นเรื่องการจัดการร่วมกับระบบรีไซเคิลเดิมนั้น นี่อาจจะเป็น ‘โอกาสในการพัฒนานวัตกรรมการคัดแยก’ เพื่อให้พลาสติกทุกประเภททำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ โดยไม่สร้างภาระ แต่กลับช่วยเติมเต็มระบบนิเวศของพลาสติกให้ยั่งยืนยิ่งขึ้น
ในขณะเดียวกัน อุตสาหกรรมพลาสติกและการรีไซเคิลทั่วโลกก็ต้องเดินหน้ากลยุทธ์ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นด้วยการผสานสองพลังรีไซเคิลเข้าด้วยกัน เริ่มจากการรีไซเคิลเชิงกล (Mechanical Recycling) ที่ยังคงเป็นรากฐานสำคัญในการหมุนเวียนทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และเพื่อ ‘ปิดช่องว่าง’ ของข้อจำกัดเดิม ก็ต้องนำเทคโนโลยีล้ำสมัยอย่าง Advanced Recycling เข้ามาเสริมทัพ
เทคโนโลยีนี้เปรียบเสมือนกุญแจสำคัญที่ช่วยชุบชีวิตให้พลาสติกที่เคยจัดการยากหรือมีการปนเปื้อนจนคัดแยกได้ยากด้วยการรีไซเคิลเชิงกล กลับไปเป็นวัตถุดิบตั้งต้น (Feedstock) หรือ Circular Naphtha ได้อีกครั้ง นี่คือโอกาสการเติบโตระดับ 25% ต่อปี ที่จะนำอุตสาหกรรมพลาสติกยกระดับไปสู่ ‘วงจรหมุนเวียนที่สมบูรณ์แบบ (Truly Circular Loop)’ อย่างไร้รอยต่อ ซึ่งความสำเร็จนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เกิดขึ้นจริงแล้ว โดยมีผู้นำอย่าง SCGC ที่บุกเบิกมาตรฐาน ISCC PLUS ในไทย พิสูจน์ให้เห็นว่าสามารถเปลี่ยนพลาสติกใช้แล้วให้กลายเป็นวัตถุดิบคุณภาพสูงในระดับอุตสาหกรรมได้จริง
เทคโนโลยี : ‘เครื่องมือ’ สู่เศรษฐกิจหมุนเวียนพลาสติกที่เป็นจริง
ถ้าเป้าหมายคือเศรษฐกิจหมุนเวียนพลาสติก เทคโนโลยีก็คือ 'กุญแจสำคัญ' ที่ถูกนำมาใช้ในปัจจุบันและอนาคตเพื่อปลด ล็อกปัญหาที่เป็นหัวใจหลักในการสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนของพลาสติก
- โจทย์: ขยะที่ปนเปื้อนและคละกันจนระบบคัดแยกไปต่อไม่ได้
- ทางออก: การใช้ AI คัดแยก เทคโนโลยี AI และ Machine Learning กำลังเข้ามาปฏิวัติโรงคัดแยกขยะพลาสติก ทำให้ระบุชนิดพลาสติกได้แม่นยำและรวดเร็วแบบก้าวกระโดด
- โจทย์: การพิสูจน์วัตถุดิบรีไซเคิล และการแก้ปัญหาการตลาดที่ไม่ชัดเจน
- ทางออก: Blockchain เพื่อการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) หลายบริษัทเริ่มนำ Blockchain มาใช้ติดตามพลาสติกตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำอย่างโปร่งใส เพื่อใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงของส่วนผสมรีไซเคิล นอกจากนี้การได้รับฉลากมาตรฐานและการรับรองสินค้าเพื่อสิ่งแวดล้อมก็เป็นสิ่งสำคัญ กรณีตัวอย่างที่น่าสนใจ คือ บริษัทใน SCGC ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISCC PLUS ครอบคลุมขอบข่าย Collecting Point, Processing Unit และ Co-processing Plant นอกจากนี้ยังมีนวัตกรรมเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง (High Quality PCR) จาก SCGC GREEN POLYMERTM ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน EuCertPlast และ RecyClass ซึ่งเป็นมาตรฐานยุโรปที่รับรองแหล่งที่มาของวัตถุดิบตั้งต้นว่ามาจากพลาสติกใช้แล้วอย่างแท้จริง
- โจทย์: การจัดหาซัปพลายขยะพลาสติกใช้แล้วที่เชื่อถือได้
- ทางออก: โครงสร้างพื้นฐานการรวบรวมขยะแบบใหม่ซึ่งต้องสร้างระบบใหม่ขึ้นมา โครงการที่น่าสนใจก็คือ Wake Up Waste สตาร์ตอัปแพลตฟอร์มและรถบีบอัดเพื่อการจัดการขยะอย่างยั่งยืนของ SCGC ที่ได้ช่วยรวบรวมและจัดการขยะพลาสติกไปแล้วกว่า 2,000 ตัน ในทำนองเดียวกัน Nets Up ก็มุ่งจัดการขยะทะเล โดยรวบรวมอวนประมงใช้แล้ว 5,420 กิโลกรัม กลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล จากความร่วมมือของ 12 กลุ่มประมง และช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้สูงถึง 30,568 kgCO2-eq (ข้อมูล ณ วันที่ 14 พฤศจิกายน 2568) ล่าสุด SCGC จับมือ มิตรผล ร่วมกันพัฒนาบรรจุภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน โดยความร่วมมือดังกล่าว ส่งเสริมให้เกิดระบบ Closed-Loop เพื่อให้พลาสติกใช้แล้วกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล ไม่เล็ดรอดออกสู่สังคมและสิ่งแวดล้อม และยังมุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน สนับสนุนเป้าหมายของกลุ่มมิตรผลที่มุ่งสู่ Net Zero ในปี 2050 และสอดคล้องกับกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน Low Waste, Low Carbon ของบริษัทอย่างเป็นรูปธรรม

ตัวชี้ขาด : ‘แรงดึง’ จากตลาด
ท้ายที่สุดแล้ว ตลาดจะเป็นผู้ตัดสินเองทิศทางของอุตสาหกรรมพลาสติกและการรีไซเคิล แม้ว่ากฎระเบียบที่กำลังจะมีผลบังคับใช้ในปี 2026 จะทำหน้าที่เป็น ‘แรงผลัก’ แต่ ‘แรงดึง’ ที่ทรงพลังยิ่งกว่ากำลังมาจากผู้ใช้งานปลายทาง โดยเฉพาะลูกค้าธุรกิจ (B2B) ที่เริ่มแสดงจุดยืนชัดเจนมากขึ้น
อุตสาหกรรมยานยนต์คือหนึ่งในตัวอย่างที่เห็นภาพชัด การเปลี่ยนผ่านสู่รถ EV กำลังช่วยจุดประกายนวัตกรรม เพราะรถ EV ใช้พลาสติกเป็นส่วนประกอบมากกว่ารถแบบเดิม เพื่อทำให้รถเบาลงและวิ่งได้ไกลขึ้น ผู้ผลิตจึงจำเป็นต้องมีพลาสติกประสิทธิภาพสูง น้ำหนักเบา ปลอดภัย และต้อง ‘ยั่งยืน’ อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม มาตรฐานความปลอดภัยขั้นสูงไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในยานยนต์ แต่สมรภูมิที่น่าจับตามองที่สุดคือวงการบรรจุภัณฑ์ กฎเหล็กของสหภาพยุโรปที่กำหนดว่าขวด PET ต้องมีส่วนผสมรีไซเคิล 25% ภายในปี 2025 กำลังเร่งให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ในประเทศไทยจะยังไม่ได้รับผลจากข้อบังคับดังกล่าว แต่กรณีของ Unilever จับมือกับ SCGC เปิดตัวบรรจุภัณฑ์รีไซเคิลฟู้ดเกรด สำหรับ แบรนด์ Knorr Professional เป็นเจ้าแรกในอาเซียน เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่พลาสติกรีไซเคิลที่ใช้สัสผัสอาหารได้รับการยอมรับมากขึ้น
การที่แบรนด์ระดับโลกประกาศจุดยืนว่าจะใช้เฉพาะวัสดุรีไซเคิลฟู้ดเกรดที่ได้มาตรฐาน ซึ่งเทคโนโลยี Advanced Recycling ของ SCGC ทำให้เกิดขึ้นได้จริง กำลังสร้างแรงดึงให้ซัปพลายเชนทั้งสายนั้นต้องขยับตามเทรนด์นี้ไปด้วย
นี่คือ ‘โลกความเป็นจริงใหม่’ ที่สะท้อนเทรนด์ ปี 2026 ของพลาสติกและการรีไซเคิล ผู้ที่จะไปต่อได้ ไม่ใช่คนที่มองกฎระเบียบเป็นอุปสรรค แต่คือคนที่ใช้มันเป็นตัวเร่ง พวกเขาคือผู้ที่ได้ชิงลงมือสร้างโซลูชันทางเทคโนโลยีไว้ล่วงหน้า เพื่อตอบโจทย์ตลาดก่อนที่กฎหมายและข้อบังคับต่าง ๆ จะมาถูกบังคับใช้จริง และกำลังรับมือกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ด้วยการสร้างสะพานเชื่อมช่องว่างระหว่างปัจจุบันและอนาคต
สำหรับผู้ประกอบการที่มองเห็นโอกาสท่ามกลางความท้าทายที่กำลังจะมาถึงพร้อมกันเทรนด์ ปี 2026 ของพลาสติกและรีไซเคิล และพร้อมจะก้าวข้ามขีดจำกัดสู่ความยั่งยืน SCGC พร้อมเป็นพันธมิตรทางนวัตกรรมที่จะเดินเคียงข้างคุณเพื่อสร้างสรรค์พอลิเมอร์แห่งอนาคตไปด้วยกัน