66% คือโอกาสที่โลกของเราจะร้อนขึ้นอีก 1.5 °C ภายในปี 2027 ซึ่งเป็นการออกโรงเตือนจากองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (World Meteorological Organization: WMO) เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา นี่ยังไม่นับรวมวิกฤตทางธรรมชาติที่เรารับรู้ได้ผ่านสื่อต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นคลื่นความร้อนที่แผดเผาหนักสุดเป็นประวัติการณ์ ทั้งในอเมริกาเหนือ ยุโรป เอเชีย รวมถึงไทย เหตุไฟป่ารุนแรงทั่วโลก หรือเหตุที่สัตว์ทะเลจำนวนมากถูกพัดมาเกยตื้นตายบนชายหาด โดย SCGC เชื่อว่าเราทุกคนน่าจะรู้คำตอบว่ามีต้นตอมาจากปัญหาเดียวกัน นั่นคือ “โลกรวน” ซึ่งครอบคลุมถึง ภาวะโลกร้อน (Global Warming) และ ภาวะโลกเดือด (Global Boiling)
โลกร้อน-โลกเดือด รุนแรงแค่ไหน พิสูจน์ได้จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา
สำนักอุตุนิยมวิทยาออสเตรเลียรายงานว่า ปรากฏการณ์เอลนีโญที่เริ่มขึ้นในช่วงฤดูร้อนปี 2023 ได้สิ้นสุดลงแล้ว1 ทว่าปรากฏการณ์นี้ยังส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการซ้ำเติมภาวะโลกร้อนระยะยาวที่เกิดจากน้ำมือของมนุษย์ โดยเอลนีโญ (El Niño) เป็นส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์สภาพภูมิอากาศตามธรรมชาติ และสามารถระบุได้จากการวัดค่าของอุณหภูมิผิวน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออกในเขตร้อนสูงกว่าปกติ ความดันบรรยากาศสูงกว่าระดับปกติที่เมืองดาร์วิน ประเทศออสเตรเลีย (แปซิฟิกตะวันตก) และความดันบรรยากาศต่ำกว่าปกติที่ตาฮิติ หมู่เกาะเฟรนช์โปลินีเซีย ดินแดนโพ้นทะเลของฝรั่งเศส (แปซิฟิกตอนกลาง)
เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สื่อหลายสำนักทั้งไทยและต่างประเทศ ต่างพากันนำเสนอเรื่อง "ปะการังฟอกขาว” หรือ “Coral Bleaching” โดยครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นนี้ถือเป็นรอบที่ 4 ของโลก2 ครอบคลุมพื้นที่การฟอกขาวของแนวปะการังมากกว่าร้อยละ 54 ใน 53 ประเทศ/ ดินแดนทั่วโลก ทั้งนี้เหตุปรากฏการณ์ดังกล่าวสามครั้งที่ผ่านมาเกิดขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1998, ค.ศ. 2010 และช่วง ค.ศ. 2014-2017 ซึ่งการฟอกขาวครั้งใหญ่แต่ละครั้งเป็นผลพวงสำคัญที่เกิดจากเอลนีโญ (El Niño) และตอกย้ำกิจกรรมของพวกเราที่ส่งผลกระทบเชิงลบต่อสภาพแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่อง
อีกหนึ่งเหตุการณ์อันน่าหดหู่ซึ่งเป็นผลกระทบจากภาวะโลกร้อน (Global Warming) และ ภาวะโลกเดือด (Global Boiling) ก็คือ สัตว์ทะเลน้อยใหญ่ต่างถูกพัดมาเกยตื้นตายเกลื่อนชายหาดทั่วโลก และหลังจากนั้นก็มีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นตามมา เหตุกาณ์ที่น่าสนใจคือ การตายของปลาซาร์ดีนและปลาแมคเคอเรลหลายหมื่นตัวที่เทศบาลเมืองฮาโกดาเตะ ในจังหวัดฮอกไกโด ทางเหนือสุดของญี่ปุ่น และหลังจากนั้นเพียงเดือนเดียวก็เกิดเหตุแผ่นดินไหวรุนแรง 7.6 แมกนิจูด มีศูนย์กลางอยู่ที่จังหวัดอิชิกาวะ บนคาบสมุทรโนโตะ ทางตอนกลางของญี่ปุ่น ส่งผลให้เสียชีวิตนับร้อย บ้านเรือนพังเสียหายยับ3 นี่ยังไม่นับรวมเหตุการณ์ ‘กระแสน้ำสีแดง’ ที่เกิดจากปรากฏการณ์สาหร่ายสะพรั่ง (Algae Bloom) ส่งผลให้ปลาลอยตายเต็มชายฝั่งทางตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐฟลอริดา ขณะที่ซานฟรานซิสโกก็เผชิญกับเหตุการณ์เดียวกันนี้จนทำให้มีปลาหลายพันตัวตายเมื่อช่วงฤดูร้อนของปี 2023 และเหตุการณ์ที่เพนกวินสีน้ำเงินตัวน้อยนับร้อยล้มตายเกลื่อนที่พื้นที่แนวชายฝั่งของนิวซีแลนด์ในเดือนมิถุนายนของปีเดียวกัน
โลกร้อน-โลกเดือด ทะลุปรอทถึงไหนแล้ว ชวนดูอุณหภูมิโลกปัจจุบัน
COP28 หรือการประชุมระดับโลกว่าด้วยการจัดการกับปัญหาโลกรวน ครั้งที่ 28 ซึ่งสิ้นสุดลงไปเมื่อปลายปีที่แล้ว พร้อมกับข้อสรุปว่าโลกจะต้องเร่งรัดการลดก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gases) ด้วยการเปลี่ยนผ่านจากการใช้พลังงานฟอสซิลเป็นพลังงานทดแทน และเพิ่มสัดส่วนการพึ่งพาพลังงานทดแทนเป็นสามเท่าภายในปี 2030 นอกจากนี้ ความคืบหน้าสำคัญจาก COP28 ก็คือการจัดตั้งและดำเนินงานกองทุนชดเชยการสูญเสียและความเสียหายในปีนี้ เพื่อช่วยเหลือกลุ่มประเทศเปราะบาง รวมถึงการวางกรอบแนวทางในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
แม้ว่าทุกฝ่ายกำลังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อลดผลกระทบจากภาวะโลกร้อน-โลกเดือด แต่ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาเราทุกคนต่างสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิ “ความร้อน” ที่สูงกว่าปกติ องค์การบริหารกิจการด้านมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐฯ หรือโนอา (The National Oceanic and Atmospheric Administration: NOAA) แถลงผลการตรวจวัดล่าสุดของปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศโลกประจำปีเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยพบว่าปลายปีที่แล้วมีความเข้มข้นสูงสุดเป็นอันดับที่สี่
โดยปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 19 คงที่อยู่ในระดับ 280 ppm (ส่วนในล้านส่วน) มาเป็นเวลานานหลายล้านปี แต่ในปีที่ผ่านมาระดับก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็น 419 ppm ซึ่งมากกว่าช่วงก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรมเกือบครึ่ง ! นั่นหมายความว่ามีโมเลกุลคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศเพิ่มขึ้นประมาณ 50% จากในปี 1750 เมื่อก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สะสมในชั้นบรรยากาศมากขึ้น ก็จะกักเก็บความร้อนและทำให้โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นไปด้วย
นอกจากนี้ในช่วงที่ผ่านมาเป็นปีที่โลกของเรากำลังรับมือกับปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่าง “เอลนีโญ (El Niño)” ที่เกิดขึ้นมาสักระยะหนึ่งแล้ว อย่างไรก็ดี ปรากฏการณ์นี้ทำให้อุณหภูมิในมหาสมุทรอุ่นขึ้น จนไปกระตุ้นให้เกิดภัยพิบัติมากมาย เช่น อุทกภัย ภัยแล้ง ซึ่งประเทศที่อยู่ในบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกที่เน้นทำเกษตรกรรมเป็นหลัก จะได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยเฉพาะในเดือนเมษายนและพฤษภาคม หรือ ช่วงเวลาที่ร้อนที่สุด
ระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่สูงในปัจจุบันทำให้เป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศในการจำกัดภาวะโลกร้อนและโลกเดือดไว้ที่ 1.5 องศาเซลเซียส อาจจะเป็นเรื่องที่ท้าทายกับหลายภาคส่วนมากยิ่งขึ้น เพื่อจำกัดภาวะวิกฤตทางสิ่งแวดล้อมดังกล่าวให้ถึงเกณฑ์นี้ ผู้เชี่ยวชาญเสนอว่าประเทศต่าง ๆ จำเป็นต้องระงับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกและลดการปล่อยก๊าซนี้ให้เหลือใกล้ศูนย์ในเวลาประมาณหนึ่งทศวรรษ พร้อมกับหานวัตกรรมที่ตอบเทรนด์เทคโนโลยีใหม่ ๆ เทรนด์นวัตกรรม และเทรนด์ความยั่งยืน 2024 เพื่อขับเคลื่อนประสิทธิภาพในการลดผลกระทบจากโลกร้อน-โลกเดือดให้เห็นผลเชิงประจักษ์มากยิ่งขึ้น
โลกร้อน-โลกเดือด SCGC ชวนอัปเดต เทรนด์เทคโนโลยี 2024 สู้วิกฤตนี้
ในขณะที่โลกกำลังต่อสู้กับความท้าทายที่เพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) จุดตัดของเทรนด์นวัตกรรมใหม่ ๆ เทรนด์เทคโนโลยี 2024 และความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมได้กลายเป็นจุดสนใจสำหรับโซลูชันนวัตกรรมในปัจจุบันและของอนาคต ดังนั้น SCGC จึงได้รวบรวม 4 เทรนด์เทคโนโลยี 2024 และ เทรนด์ความยั่งยืน 2024 ที่น่าสนใจ ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบของโลกร้อน-โลกเดือดไว้ที่นี่
SCGC ตระหนักถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) และเรายังให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดห่วงโซ่คุณค่า พร้อมมุ่งเน้นการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม สังคม และมีบรรษัทภิบาล ควบคู่กับการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยแผนงานทางธุรกิจตามแนวทาง ESG และ SDGs (Sustainable Development Goals)