close

24 พ.ย. 2566

5 เคล็ดลับ ลดโลกร้อน (Global Warming) ชะลอโลกเดือด (Global Boiling) ฉบับ SCGC

Business ESG Circular Economy Innovation Solutions Sustainability

เราทุกคนต่างกำลังใช้ชีวิตอยู่ในยุคที่สภาพอากาศของโลกแปรปรวนอย่างหนักหน่วง ซึ่งเป็นผลมาจาก โลกร้อน (Global Warming) และ โลกเดือด (Global Boiling) โดยเฉพาะในปีนี้ หน่วยงานติดตามการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศโคเปอร์นิคัสของสหภาพยุโรป (Copernicus Climate Change Service: C3S) ได้เผยข้อมูลว่า ในปีนี้อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกนั้นร้อนขึ้นไปอีกราว 0.4 องศาเซลเซียส จากระดับสูงสุดก่อนหน้าในเดือนตุลาคมปี 2019 และพวกเขายังชี้อีกว่า อุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นจะยังคงดำเนินต่อไปจนถึงปี 2024 และในเดือนพฤศจิกายนนี้ ยังมีอุณหภูมิสูงขึ้น 1.7 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรม

อย่างไรก็ตาม ความพยายามจากทุกภาคส่วนที่ร่วมมือกันลดผลกระทบ ชะลอความรุนแรงของวิกฤต และหาวิธีหยุดยั้งสถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรมมากขึ้น ผ่านการบูรณาการองค์ความรู้และเทคโนโลยีต่าง ๆ SCGC ผู้นำธุรกิจเคมีภัณฑ์ครบวงจรเพื่อความยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียน ก็เป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองสำคัญที่ร่วมมือหาทางออกให้กับปัญหานี้ เร่งสปีดพัฒนาเคมีภัณฑ์ที่ตอบโจทย์เทรนด์นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน

#1 : การส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์

ในปี 2561 SCGC ได้นำจุดเด่นของตนเองจากการเป็นผู้ผลิตเม็ดพลาสติกคุณภาพที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านวิศวกรรม ผนวกกับความสามารถของผู้เชี่ยวชาญด้านวัสดุศาสตร์ในการออกแบบผลิตภัณฑ์พลาสติก ร่วมกันคิดค้นและสร้างสรรค์จนประสบความสำเร็จเป็นผลิตภัณฑ์ทุ่นลอยน้ำ เพื่อใช้ประกอบและติดตั้งโซลาร์ฟาร์มลอยน้ำรายแรกในประเทศไทย จากนั้นเราจึงได้ขยายแผนงานด้านธุรกิจโซลาร์ฟาร์มลอยน้ำแบบครบวงจร SCGC Floating Solar Solutions เพื่อตอบสนองความต้องการพลังงานสะอาดที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย


จุดน่าสนใจเชิงโครงสร้างของ SCG Floating Solar Solutions คือ สามารถติดตั้งได้หลายรูปแบบ ตามสภาพแหล่งน้ำและความต้องการของผู้ประกอบการ รองรับแผงโซลาร์เซลล์ได้หลากหลายยี่ห้อและขนาด นวัตกรรมนี้นอกจากตอบโจทย์เทรนด์นวัตกรรม และ Sustainability Trends แล้ว เพราะมีอายุการใช้งานได้ยาวนานถึง 25 ปี และสามารถนำทุ่นกลับมารีไซเคิลได้ นวัตกรรมนี้ยังสามารถติดตั้งได้ง่าย รวดเร็ว โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์หนัก และสะดวกต่อการบำรุงรักษา มีแรงลอยตัวสูง เพิ่มเสถียรภาพและความปลอดภัยให้กับโซลาร์ฟาร์มลอยน้ำและเจ้าหน้าที่ขณะปฏิบัติงาน SCG Floating Solar Solutions เป็นรายเดียว ที่สามารถการออกแบบและติดตั้งระบบยึดโยง เพื่อรับประกันระบบโครงสร้างลอยน้ำทั้งหมด

ตั้งแต่ปี 2561 - 2565 มีการได้ดำเนินการติดตั้ง SCGC Floating Solar Solutions ให้แก่บริษัทในเครือเอสซีจีและลูกค้าภายนอกรวมมากกว่า 54 โครงการ มีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมกว่า 55.1 เมกะวัตต์ ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 38,000 ตัน คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี

#2 : การบริหารและการจัดการขยะ

เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนวัสดุกลับมาใช้ใหม่ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular economy) เอสซีจีจึงมีนโยบายส่งเสริม Waste Management โดยเริ่มจากพนักงานภายในสำนักงานใหญ่บางซื่อ ภายใต้ชื่อ “บางซื่อโมเดล” ผ่านการใช้ให้คุ้ม (ใช้ทรัพยากรหรือสิ่งของที่มีให้คุ้มค่า ซึ่งหลายอย่างเราสามารถใช้ซ้ำได้) แยกให้เป็น (คัดแยกขยะหรือสิ่งที่ต้องการทิ้งให้ถูกประเภท เพื่อความง่ายต่อการนำไปจัดการ) ทิ้งให้ถูก (ทิ้งให้ลงตามสีของถังในแต่ละประเภทที่แตกต่างกัน เพื่อให้นำกลับไปใช้ประโยชน์ได้สูงสุด) และหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ (นำทรัพยากร หรือขยะที่ผ่านการคัดแยกให้ถูกประเภท กลับมาชุบชีวิต ให้สามารถใช้งานได้อีกครั้ง)

จากโมเดลดังกล่างนำไปสู่การขยายผลอย่างเป็นรูปธรรมให้กับชุมชนโดยรอบโรงงานของ SCGC เมื่อต้นปี 2562 โดยมีชุมชนในเขตเทศบาลเมืองมาบตาพุด จ.ระยอง ได้แก่ ชุมชนโขดหิน 2 ชุมชนโขดหินมิตรภาพ ชุมชนเขาไผ่  วัดโขดหิน โรงเรียนวัดโขดหินมิตรภาพที่ 42 และธนาคารขยะชุมชนเขาไผ่ นั่นคือจุดเริ่มต้นของโครงการ ชุมชน LIKE (ไร้) ขยะ

มีการดำเนินงานครอบคลุม 65 ชุมชน 10 วัด 11 โรงเรียน 2 โรงพยาบาล 1 โรงแรม และ 3 กลุ่ม ประมง ซึ่งใช้แอปพลิเคชัน “คุ้มค่า” (KoomKah) ที่ SCGC พัฒนาขึ้นมาช่วยชุมชนบริหารจัดการธนาคารขยะ ปัจจุบันมีธนาคารขยะ 13 แห่ง มีสมาชิกธนาคารขยะทั้งหมด 3,785 บัญชีมียอดสะสมขยะรีไซเคิลที่เข้าสู่ระบบกว่า 240 ตัน ช่วยลดปริมาณการฝังกลบขยะและเทียบเท่าการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกว่า 480,000 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์

SCGC ได้ขยายผลโครงการชุมชน LIKE (ไร้) ขยะ สู่นักเรียนในโรงเรียนด้วยโครงการ “ถุงนมกู้โลก” เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรม เด็กรุ่นใหม่ให้ใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า โดยรวบรวมถุงนมโรงเรียน เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล ผลิตเป็นผลิตภัณฑ์พลาสติกใหม่ เช่น เก้าอี้ กระถางต้นไม้

ปัจจุบันมีโรงเรียนสนใจเข้าร่วมโครงการกว่า 1,850 โรงเรียน และเก็บถุงนมได้จำนวน 1,600,000 ถุง น้ำหนักรวม 6,400 กิโลกรัม (6.2 ตัน) กลับมารีไซเคิล

#3 : การคิดค้นและพัฒนาบรรจุภัณฑ์

SCGC เชื่อมั่นว่า การบริโภคอาหารที่มีคุณภาพเยี่ยมภายใต้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และสอดรับกับ Sustainability Trends ของโลก จะช่วยตอบโจทย์ทั้งในเรื่องความมั่นคงทางด้านอาหาร (Food security) ควบคู่ไปกับการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular economy) เราจึงใช้ความเชี่ยวชาญด้าน Green Innovation มายกระดับบรรจุภัณฑ์พลาสติกสำหรับอาหารให้มีคุณภาพ สะอาด ปลอดภัย บนมาตรฐานการผลิตที่มีประสิทธิภาพ และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

เมื่อเร็ว ๆ นี้ SCGC ได้ลงนามในสัญญาร่วมทุน (Joint venture) กับกลุ่มบริษัท Braskem (บราสเคม) ผู้นำด้านพลาสติกชีวภาพระดับโลกจากประเทศบราซิล จัดตั้งบริษัทร่วมทุนใหม่ โดยเราตั้งเป้าผลิต เอทิลีนชีวภาพ (Green-Ethylene) จากเอทานอลที่ใช้ผลิตผลจากภาคเกษตร 200,000 ตันต่อปี แทนเอทิลีนจากฟอสซิลด้วยเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก เอทิลีนชีวภาพนี้จะถูกนำไปผลิตเป็นพลาสติกชีวภาพ หรือ Green-PE (Green-Polyethylene) ที่มีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นลบ (Negative carbon footprint) สามารถรีไซเคิลได้เช่นเดียวกับพอลิเอทิลีนทั่วไป ซึ่งสอดคล้องกับแนวทาง ESG ของ SCGC และนโยบายเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) ของประเทศไทย

เรายังได้จับมือร่วมกับ Prepack (พรีแพค) และPFP (พีเอฟพี) เพื่อพัฒนาบรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารแช่แข็งรุ่นใหม่ที่สามารถนำไปเข้ากระบวนการรีไซเคิลได้ นวัตกรรมที่ตอบ Sustainability Trends ดังกล่าวก็คือ การผลิตฟิล์มแบบดึงยืด 1 ด้าน (MDOPE film) จากเม็ดพลาสติกพอลิเอทิลีน SCGC™ HDPE H619F ให้เป็นฟิล์มที่มีคุณสมบัติพิเศษในด้านการทนความร้อนสูง สามารถใช้เป็นชั้นพิมพ์ (Printing Layer) แทนวัสดุเดิมคือ ฟิล์มไนลอน (BOPA หรือ Nylon Film) สู่การเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์แบบอ่อนตัวให้มีโครงสร้างเป็นพลาสติกชนิดเดียวกันทั้งชิ้น (Mono Material) เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

บรรจุภัณฑ์แบบใหม่ที่ใช้โครงสร้างจากพลาสติกชนิดพอลิเอทิลีนทั้งชิ้นนี้ จะช่วยลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 40%*

#4 : การส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า

SCGC เล็งเห็นเทรนด์การเติบโตของธุรกิจยานยนต์ จึงได้ร่วมมือกับพันธมิตรคิดค้นพัฒนาเม็ดพลาสติกชนิดพิเศษที่ตอบโจทย์การใช้งานสำหรับรถยนต์โดยเฉพาะ โดยแต่ละชนิดมีคุณสมบัติเด่นทั้งในด้านความคงทน แข็งแรง และมีน้ำหนักที่เบาลง

เราได้พัฒนาเม็ดพลาสติก SCGC™ PP P765J ที่มีคุณสมบัติทนทานต่อแรงกระแทกสูงเป็นพิเศษ (Ultra-high impact resistance) และสามารถไหลตัวได้ดี (High flow) ยืดตัวได้มากขึ้น (High elongation) และมีความเหนียว ไม่หักเปราะหรือแตกง่าย (Ductile) เหมาะสำหรับใช้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ในส่วนที่มีโอกาสรับแรงกระแทกสูงอย่างแผงประตูด้านข้างรถยนต์ (Door trims) กันชนหน้า-หลัง (Front-rear bumper) และแผงควบคุมคอนโซลรถยนต์ (Instrumental panel) ที่แม้จะเป็นการใช้งานภายในรถ แต่ก็มั่นใจได้เรื่องความปลอดภัยระหว่างการใช้งาน เพราะเม็ดพลาสติกชนิดนี้มีสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่ายในระดับต่ำ (Low VOCs) และอยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ

SCGC ยังได้ร่วมมือกับพันธมิตรพัฒนาเม็ดพลาสติก SCGC™ PP P1085J ที่มีค่าอัตราการไหลของพลาสติก หรือ Melt Flow Rate ที่สูงขึ้นอย่างมาก เมื่อนำไปขึ้นรูปชิ้นงานแล้วมีความบางลงจากเดิม และยังสามารถขึ้นรูปชิ้นงานที่ขนาดใหญ่ขึ้นได้ โดยยังคงคุณสมบัติด้านอื่น ๆ ของเม็ดพลาสติกเอาไว้ครบถ้วน เม็ดพลาสติกดังกล่าวยังทำให้ได้ชิ้นงานที่บางลงกว่าเดิมราว 0.5 มิลลิเมตร และลดน้ำหนักชิ้นงานพลาสติกชิ้นส่วนรถยนต์ลงได้ 10% เมื่อเทียบกับแบบเดิม แถมยังช่วยลดการเกิดริ้วรอย Defect ระหว่างการฉีดขึ้นรูป (Gate String) ทำให้ได้ชิ้นงานคุณภาพสูง แต่ใช้ปริมาณเม็ดพลาสติกในการผลิตน้อยลง ตอบโจทย์หลักเศรษฐกิจหมุนเวียนในแง่การใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าอีกด้วย

นอกจากนี้ SCGC ได้ลงนามในสัญญาร่วมทุนกับบริษัท Denka Company Limited หรือ Denka ประเทศญี่ปุ่น เพื่อดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่าย อะเซทิลีนแบล็ก (Acetylene Black) ในจังหวัดระยอง คาดว่าจะมีกำลังการผลิตประมาณ 11,000 ตันต่อปี และโรงงานสามารถเริ่มกระบวนการผลิตได้ภายในต้นปี 2568

#5 : การฟื้นฟูและการเพิ่มพื้นที่สีเขียว

เมื่อเดือนสิงหาคม 2565 SCGC ได้ตัวโครงการ “ปลูก เพาะ รัก” : ปลูกต้นไม้ เพาะต้นกล้า รักษาป่า สู่วิถีสังคมคาร์บอนต่ำ ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการด้านสิ่งแวดล้อมตามแนวทางและเป้าหมายด้าน ESG (Environmental, Social and Governance) เพื่อช่วยลดวิกฤติภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งการเพิ่มพื้นที่สีเขียว โดยร่วมกับภาครัฐ ภาคประชาสังคม และภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งพนักงานจิตอาสา เดินหน้าปลูกต้นไม้ 1 ล้านต้น ด้วยการปลูกป่าชายเลน และป่าบก การเพาะต้นกล้าเพื่อจัดสรรให้พื้นที่ที่ขาดแคลน รวมไปถึงการปลูกป่าในใจคน ด้วยแนวคิดคนดูแลป่า ป่าดูแลคน สู่วิถีสังคมคาร์บอนต่ำตามเป้าหมายของประเทศ เพื่อโลกและสังคมที่ยั่งยืนต่อไป

เรายังได้ขอขึ้นทะเบียนโครงการ T-VER แบบมาตรฐานขั้นสูง เรียกว่า Premium T-VER ไปยังองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (อบก.) ซึ่งมีเกณฑ์ในการดำเนินงานที่เข้มข้นขึ้นและเป็นมาตรฐานสากล ที่มีกระบวนการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholder) เพื่อให้มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาและกำหนดข้อตกลงร่วมกัน รวมถึง ต้องประเมินและป้องกันผลกระทบด้านลบ (Safeguards) ตามกฎหมาย/ข้อบังคับเพื่อไม่ให้โครงการเกิดผลกระทบด้านลบ (Do-no-net-harm) แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

SCGC คาดว่าโครงการดังกล่าวจะสามารถลดการปล่อยกักเก็บและดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 6,500 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี จากต้นไม้กว่า 550,000 ต้น รวมทั้งมีการศึกษาวิจัยเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ เพื่อเปลี่ยนพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมให้สมบูรณ์ด้วยพรรณไม้และกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่สำคัญในวัฏจักรคาร์บอน (Carbon cycle) ของระบบนิเวศ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มพื้นที่ป่าชายเลน กลายเป็นแหล่งดูดซับและกักเก็บคาร์บอน ที่จะสร้างสังคมคาร์บอนต่ำให้กับประเทศไทย และส่งเสริมให้ชุมชนเกิดรายได้ตามมาอีกด้วย

SCGC ยังคงมุ่งมั่นคิดค้นและพัฒนานวัตกรรมเคมีภัณฑ์ ที่นอกจากจะช่วยสร้างการเติบโตให้กับภาคอุตสาหกรรมและยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกคนในสังคมแล้ว นวัตกรรมของเรายังตอบโจทย์ Sustainability Trends ของโลก โดยช่วยลดผลกระทบจากการเปลี่ยนภูมิอากาศ (Climate Change) ที่เกิดจาก โลกร้อน (Global Warming) และ โลกเดือด (Global Boiling) ได้


Is this article useful ?