ในโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทาย ภาคธุรกิจต้องเผชิญกับสภาวการณ์ที่ไม่แน่นอนอยู่ตลอดเวลา หลายครั้งเราจะสังเกตเห็นว่า ธุรกิจที่มุ่งแสวงหาผลกำไรเพียงอย่างเดียวไม่สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน แต่ในทางตรงกันข้าม ธุรกิจที่คำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสียอย่างรอบด้าน กลับยืนหยัดได้ยาวนานท่ามกลางกระแสของการเปลี่ยนแปลง
เอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC ดำเนินธุรกิจบนเส้นทางของความยั่งยืนมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมมุ่งมั่นสู่ “ผู้นำธุรกิจเคมีภัณฑ์ครบวงจรเพื่อความยั่งยืน” โดยนำหลัก ESG อันได้แก่ Environmental การคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม Social ความรับผิดชอบต่อสังคม และ Governance หรือบรรษัทภิบาลมาปรับใช้ และยังเน้นหนักในเรื่องหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า จึงทำให้ที่ผ่านมา SCGC มีผลการดำเนินงานที่เติบโตมาโดยตลอด แม้ว่าจะต้องเจอกับหลากหลายความท้าทายในการดำเนินธุรกิจ และนี่คือ 5 เหตุผลที่ทำให้ SCGC พร้อมเติบโตอย่างยั่งยืน
บริษัทที่ไม่หยุดนิ่งเพื่อพัฒนานวัตกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
SCGC ไม่เพียงผลิตเม็ดพลาสติกเพื่อตอบสนองความต้องการใช้งานของผู้บริโภคเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม โดยมี SCGC GREEN POLYMERTM เป็นผลิตภัณฑ์เรือธง ที่ส่งต่อความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมจาก SCGC สู่มือผู้บริโภค ด้วยหลักการครอบคลุม 4 ด้าน คือ (1) REDUCE : ลดการใช้เม็ดพลาสติก โดยนำเม็ดพลาสติกคุณภาพสูงที่ผลิตจากเทคโนโลยี SMX™ ซึ่งมีความแข็งแรงเป็นพิเศษมาใช้ในการผลิตบรรจุภัณฑ์ จึงช่วยลดการใช้เม็ดพลาสติก โดยยังคงคุณสมบัติอื่น ๆ ไว้อย่างครบถ้วน (2) RECYCLABLE : การออกแบบเพื่อให้รีไซเคิลได้ โดยพัฒนาร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจอย่างครบวงจร เป็น Recyclable Packaging Solution เพื่อเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์แบบอ่อนตัว (flexible packaging) ให้สามารถรีไซเคิลได้ง่าย (3) RECYCLE : นำพลาสติกใช้แล้วในครัวเรือนมารีไซเคิลเป็นเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง ช่วยลดปริมาณขยะ และลดการใช้ทรัพยากร และ (4) RENEWABLE พัฒนาพลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ และพลาสติกจากทรัพยากรหมุนเวียน
ความใส่ใจตั้งแต่ต้นกระบวนการเคมีภัณฑ์
ปรับปรุงการทำงานบริษัทให้มีประสิทธิภาพ
SCGC ไม่เคยหยุดพัฒนาปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการลดการใช้พลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิต ได้มีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลที่เรียกว่า AI Supervisory System มาใช้เพื่อวิเคราะห์การทำงานของเครื่องจักร บริหารจัดการพลังงาน และตรวจสอบความผิดปกติของการใช้พลังงานในโรงงานได้อย่างแม่นยำ ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานได้ถึง 17 ล้านบาทต่อปี โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงเครื่องจักร ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่ชั้นบรรยากาศได้ 1,600 ล้านตันต่อปี เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ปีละกว่า 160,000 ต้น เป็นหนึ่งในก้าวสำคัญสู่การนำพาธุรกิจสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2050